Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam erat volutpat. Ut wisi enim

Subscribe to our newsletter

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam
[contact-form-7 id="9582" html_class="default"]

meet&EAT

ได้กลับไปอยู่ในบรรยากาศท่องเที่ยวนครศรีธรรมราช เห็นได้ชัดว่ามีความคึกคักขึ้นเป็นอย่างมาก จากบรรดาที่พัก ร้านอาหาร ที่ผุดขึ้นมาทุกพื้นที่ เพราะเมืองคอน คือ “นครศรีดี๊ดี” ที่มีครบทั้งทะเล ภูเขา น้ำตก ศิลปวัฒนธรรม มีวัดเก่าแก่กระจายตัวอยู่มากมาย และเป็นเป้าหมายของสายมู ด้านความเชื่อความศรัทธา อาทิ ไอ้ไข่วัดเจดีย์ ที่ยังมีผู้คนหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย พลอยทำให้ที่ธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร คึกคักตามไปด้วย [caption id="attachment_32451" align="aligncenter" width="746"] เต้าคั่ว เมนูเบา ๆ คล้ายสลัด นิยมกินกันมากแถบสงขลา พัทลุง[/caption] ลงใต้รอบนี้ จึงตระเวนหาของกินอร่อย ๆ ตามใจปรารถนา ทั้งอาหารบ้าน ๆ ที่ทำกินในครัวเรือน หรือขายกันตลาดตลาด และร้านอาหารขึ้นชื่อที่ยังติดอยู่ความนิยม [gallery columns="2" size="full" ids="32447,32448,32449,32450"] [gallery

กล้วยเป็นพืชอาหารของคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาอย่างยาวนานนาน เมืองไทยเรามีกล้วยหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งที่ปลูกไว้กิน ใช้ หรือประดับเพื่อความสวยงาม นอกจากผลที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  หยวกกล้วยยังเป็นทั้งอาหารคนและอาหารสัตว์ นิยมนำมาต้มหรือแกง หัวปลีก็นำมาทำอาหารหรือกินแนมได้ ใบยังนำมาเป็นทำหีบห่อที่ย่อยสลายได้ง่าย  ลำต้นส่วนที่แข็ง ๆ ยังนำมาทำเป็นเชือกกล้วย ปัจจุบันยังพัฒนาไปทำเป็นกระเป๋าได้ด้วย ทั่วทุกภูมิภาคของเมืองไทยมีต้นกล้วยเป็นพืชล้มลุกที่ปลูกกันอย่างแพร่หลาย เป็นทั้งพืชบ้าน ๆ และพืชเศรษฐกิจที่ปลูกเพื่อส่งขายกันทั้งผลและใบ หลายคนรู้จักการกินกล้วยสุก แต่ก็อาจจะไม่รู้จักการกินกล้วยดิบ ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านที่กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ รวมทั้ง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา วิถีแห่งสายน้ำ บ้านนา บ้านไร่ หล่อหลอมเป็นเรื่องราวของการกินอยู่แบบชาวนครหลวง ไม่ว่าจะเป็นปลาแม่น้ำที่หมุนเวียนไปตามฤดูกาล  ยังมีวัตถุดิบบ้านจากท้องนาอย่าง กบ ปลาไหล ให้หากินได้ตามธรรมชาติ พร้อมด้วยพืชผักสมุนไพรที่ปลูกไว้ อยากกินเมื่อไหร่ก็มาเก็บไปปรุงกันสด ๆ ที่ร้าน “ครัวสวรรค์บ้านไร่”  เป็นร้านอาหารของครอบครัว ดูแลโดย “คุณเมย์” ถ่ายทอดเมนูบ้าน ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ให้ผู้มาเยือนได้ลิ้มลอง ผลคือติดอกติดใจ

อาการของคนหลงราตรี เมื่อเจอบรรยากาศดี ๆ ก็มักจะไม่อยากเข้านอน อย่างการเดินทางล่าสุด ในเส้นทาง Fam Trip สำรวจเส้นทางท่องเที่ยวกับ ททท. ภูมิภาคภาคกลาง ก็อยากเกเรกันซะตั้งแต่คืนแรก เพราะค่ำคืนบนสวนผึ้ง จ.ราชบุรี ช่วงปลายมกราคม ยังมีไอเย็น ๆ ให้พอชื่นใจ แค่หลบจากฝุ่นกรุงเทพฯได้ ก็อยากจะซึมซับอากาศดี ๆ เก็บไว้เยอะ ๆ แต่เมื่อรู้ว่าเช้ามืดของวันพรุ่ง ต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า ก็จำยอมซุกหมอนกันแบบไม่ดึกจนเกินไป 6.15 น. เราเดินทางมาถึง “ตลาดโอ๊ะป่อย”​ แสงจากดวงไฟน้อย ๆ ยังทำงานท่ามกลางความสลัว แต่ก็เต็มไปด้วยสีสันของสิ่งที่เราคิดว่ามันคือ “ตุง” แบบทางเหนือ ซึ่งจริง ๆ มันเรียกว่า “คังด้ง” ในภาษากระเหรี่ยง แปลว่า

เดือนมกราคม หลังฤดูเก็บเกี่ยวข้าว ชาวบ้านจะออกหาปูนาเพื่อนำมาปิ้ง เพราะในช่วงนี้ปูจะมีมันเต็มท้อง นำมาปิ้งย่างบนเตาถ่าน โรยเกลือนิดหน่อย พอให้กรอบเกรียวเคี้ยวได้ทั้งตัว จิ้มข้าวเหนียวกับมันปูตัวน้อย ๆ แกล้มส้มตำสักนิดสักหน่อย ก็เพลินมากแล้วสำหรับฤดูกาลนี้ “เพราะถ้ารอไปจนถึงหน้าฝน เป็นช่วงที่ปูตั้งท้องก็จะไม่มีมันปูอีกแล้ว” ตัวแทนจากกลุ่มเกษตรอินทรีย์หนองคู-ศรีวิไล จ.มหาสารคาม ทำหน้าที่ปิ้งไป เล่าเรื่องไป คนเมืองยืนมุง มุ่งความสนใจไปที่เจ้าปูตัวน้อยที่เรียงกันอยู่เป็นตับ ขณะที่ชาวบ้านเคี้ยวเพลินหนุบหนับ ชวนให้ทุกคนลิ้มลอง ติดใจก็อุดหนุนกันได้ในราคาไม้ละ 30 บาท เป็นอีกสีสัน "งานสังคมสุขใจ” ซึ่งจัดมาเป็นปีที่ 9 แล้ว และในปีนี้ก็ยังคงสืบสานความสุขใจได้มากขึ้น เพราะนอกจากเรื่องของสุขภาพแล้ว เป้าหมายใหญ่ของสังคมสุขใจ และวิถีเกษตรอินทรีย์ คือการเคลื่อนไหวเพื่อโลกที่ดีขึ้น ภายใต้วิกฤตที่รบเร้าให้เราทุกคนต้องร่วมลงมือทำอะไรสักอย่าง นอกจากปูนาที่ชาวบ้านช่วยกันขุดหามาเสิร์ฟถึงที่แล้ว ยังมีของดี วิถีเด็ด จากเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ทั่วประเทศมาโชว์พลัง ทั้งของกิน ของใช้ ที่มีความน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นทุกปี งานสังคมสุขใจ ครั้งที่ 9

ย้อนไปราว 10 ปี ชื่อของ “ณดล วิลล่า”​ เป็นรีสอร์ตริมลำธารที่ได้รับคำชื่นชม พร้อมความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบบรรยากาศที่ผ่อนคลายริมลำธาร ด้วยการออกแบบตกแต่งที่นำเสนอความเป็นไทยได้อย่างมีระดับ จนได้รับรางวัล Thailand Boutique Awards 2011 จุดเริ่มต้นของรีสอร์ตแห่งนี้ เป็นอาณาจักรแห่งความสุขของครอบครัวนักการตลาดและโฆษณาชื่อดังอย่าง “คุณไอ๋-ดลชัย บุณยะรัตเวช” ด้วยความชอบจได้เสาะหาเรือนไทยอายุกว่า 100 ปีจากอ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท ยกมาไว้ในพื้นที่กลางป่า ริมลำธาร ใน อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เสียงเรียกร้องของเพื่อน สู่การต้อนรับผู้มาเยือน ความร่มรื่นของสภาพแวดล้อม ธารน้ำใสไหลเย็นตลอดทั้งปี มีสระว่ายน้ำกลางป่าเติมชีวิตชีวาให้กับทุกคน จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อน ๆ ที่แวะเวียนมาเยือน เกิดเป็นเสียงเรียกร้องให้ทำเป็นรีสอร์ตอย่างเป็นเรื่องเป็นราว จากนั้นคุณไอ๋จึงสร้างอาคารอีก 2 หลัง ตกแต่งห้องพักในสไตล์ไทยย้อนยุค ให้ความรู้สึกงดงาม ทรงคุณค่า แต่ทว่าเต็มไปด้วยความอบอุ่นใจ

“เมืองพริบพรี”  เป็นชื่อเรียกขานเพชรบุรีเมื่อครั้งสมัยอดีต หลายคนเพิ่งได้ยินคำ ๆ นี้ เมื่อละครพรหมลิขิตหยิบยกมากล่าวถึง ในอดีตเราอาจจะคุ้นเคยกันว่า “เพชรบุรี” เป็นเมืองขนมหวาน จากวัตถุดิบอันโดดเด่นของน้ำตาลโตนด แต่ของกินเมืองเพชรก็มีความเด็ดเป็นเอกลักษณ์มากกว่านั้น จนได้ชื่อว่า “เมืองสามรส” เพราะมีทั้ง “รสเค็ม” จากเกลือสมุทร จากการทำนาเกลือในเขตอำเภอบ้านแหลม ซึ่งกลายเป็นภาพความงดงามแปลกตาไม่เหมือนที่ไหน ตลอดสองฝั่งถนนเส้นทางคลองโคน บางตะบูน ไปจนถึงบ้านแหลม “รสเปรี้ยว” มาจากความหอมโดดเด่นของมะนาวเมืองเพชรบุรี ของดีประจำอำเภอท่ายางและอำเภอบ้านลาด รวมทั้ง “รสหวาน” ที่ทุกคนคุ้นเคย จากน้ำตาลโตนดคุณภาพดี หวานหอม โดยเพชรบุรีมีการปลูกต้นตาลมากที่สุดในประเทศไทย นำมาประกอบอาหารได้ทั้งคาวหวาน เรื่องราวความหลากหลายของวัตถุดิบของเมืองเพชรบุรียังไม่ได้จำกัดอยู่แค่ 3 รสชาติที่โดดเด่นนี้ และในปัจจุบัน “เพชรบุรี” ยังได้รับการยกย่องเป็น “เมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร” จาก UNESCO หากไปเยือนเมืองเพชรบุรี จึงต้องลองไปพิสูจน์ อาหารการกินที่หลากหลาย

หน้าฝนเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการออกจากบ้าน…. เรื่องนี้สายกรีนเขารู้ดี เพราะฝนจะช่วยชะล้างให้ทุกอย่างดูสดใส แหล่งน้ำที่เคยเหือดหายก็กลับมาเติมเต็ม ภายใต้บรรยากาศที่เย็นใจนี้ ขอกลับไปให้หายคิดถึงอีกสักที ที่ “เขาค้อ” เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ เมืองมะขามหวาน และไก่ย่างแสนอร่อย ทริปนี้มีโอกาสแวะกินทั้งขาไปขากลับ พอมาถึงเขาค้อก็ตระเวนหาของกินอร่อย ๆ ทั้งที่เคยติดอกติดใจ และร้านใหม่ ๆ ที่น่าลอง และไม่ลืมที่จะอัพเดทที่เที่ยวใหม่ ๆ มาฝากกัน Phukaew Peak จุดชมวิวสุดพีค  เมื่อมาถึงภูแก้วรีสอร์ทแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปจอดบริเวณวงเวียนน้ำพุ จะเห็นรถสองแถวจอดรอ เพราะการขึ้นไปยังภูแก้วพีคนั้น ถนนเส้นเล็ก ๆ มีความลาดชัน หลังจากซื้อตั๋วค่าเข้าชมคนละ 40 บาทแล้ว รถสองแถวก็พาเราไต่ขึ้นไปบนเนินเขาสูง อันเป็นจุดพีคของสถานที่แห่งนี้ จุดแรกเราจะพบกับ “ภูแก้วพีค คาเฟ่” ร้านกาแฟมุมสูงที่มองเห็นวิวทิวทัศน์กว้างไกล ทิวทุ่งกังหันลมจากมุมนี้มีขนาดจิ๋วลงไปเหมือนก้านไม้ขีด   ถ้าได้มาช่วงเช้ายามมีหมอก หรือแสงเย็นยามพระอาทิตย์ตกก็จะดีงามขึ้นไปอีก เดินขึ้นเนินไปอีกหน่อย ผ่านแนวดอกไม้สีสันสดใส

ทะเลภาคตะวันออกช่วงปลอดมรสุมผืนน้ำสีฟ้าจะมีความหวานละมุน มองแล้วชื่นสายตา อีกทั้งยังไม่ต้องออกเรือไปไกล หากนั่งสปีดโบ๊ทจากท่าเรืออ่าวมะขามป้อม แหลมแม่พิมพ์ จะใช้ประมาณ 15-20 นาทีเท่านั้นก็จะไปถึงหมู่เกาะมัน อันประกอบด้วยเกาะมันใน เป็นเกาะที่อยู่ใกล้ฝั่งที่สุด และมีขนาดใหญ่กว่ามันกลางและมันนอก ด้วยพื้นที่ 131 ไร่ เอกลักษณ์ที่สำคัญคือเป็นที่ตั้งของศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล เกาะนี้ไม่มีที่พัก แต่สวยงามเหมาะกับการเที่ยวชม โดยเฉพาะช่วงที่มีทะเลแหวก ส่วนเกาะถัดไปคือ เกาะมันกลาง เกาะแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น ด้วยสภาพโขดหินที่กระจายตัวสลับกับชายหาดรอบเกาะ เกาะนี้มีที่พัก และมีทะเลแหวกน้อย ๆ เกาะถัดไปที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาเกาะมัน  คือ เกาะมันนอก มีพื้นที่ประมาณ 95 ไร่ มีที่พัก 1 แห่ง ด้วยความไกลจากฝั่งมากขึ้น ก็ทำให้ทะเลมีสีเขียวอมฟ้า และมีชายหาดที่สะอาดตา สวยงามและเป็นส่วนตัวเฉพาะผู้เข้าพักเท่านั้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หมู่เกาะมัน จังหวัดระยอง ก็ยังคงเอกลักษณ์ของความเงียบสงบ ล่าสุดที่เกาะมันกลาง

หลังจาก “แห้ว” มีชื่อเรียกใหม่ว่า “สมหวัง” ดูเหมือนว่าภาพรวมต่าง ๆ ก็ดูดีตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าแค่เปลี่ยนชื่อแล้วจะมีความเปลี่ยนแปลง เพราะแห้ว ก็ยังเป็นแห้ว เป็นพืชที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า มีประโยชน์มากแค่ไหน ทั้งตัวผู้กิน ผู้ปลูก และวันนี้แห้วก็เป็นหนึ่งในขบวนการกู้โลกไปแล้ว รู้จักแห้วสุพรรณ GI พื้นที่อำเภอเมือง และอำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นแหล่งปลูกแห้วคุณภาพของที่ได้ชื่อว่า มีหัวโต เติบโตได้ดีในพื้นที่นา เต็มไปด้วยคุณประโยชน์ มีไฟเบอร์สูง และแร่ธาตุต่าง ๆ เพราะปลูกในแหล่งที่ได้ชื่อว่ามีดิน ฟ้า อากาศ ที่เหมาะสำหรับการปลูกแห้ว เพียง 1 เดียวในเมืองไทย จนทำให้ “แห้วสุพรรณ” ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) “สมหวังที่วังยาง” เป็นชื่อที่ทำให้หลายคนได้รู้จักเรื่องราวของแห้วมากขึ้น ทั้งจากการส่งเสริมและพัฒนา “แห้ว” ให้

เป็นอีกจังหวัดที่ไปเมื่อไหร่ก็เป็นอันตกหลุมรักเหมือนเพิ่งได้พบเจอเสมอ ด้วยวิถีแห่งผู้คนและธรรมชาติที่เคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ งดงามและลงตัวในแบบฉบับของตัวเอง ทำให้ “ชัยภูมิ” เป็นหนึ่งในกลางใจ เดินทางไปคราใดก็ยังรู้สึกดี ๆ เสมอ ต้นเดือนพฤษภาคมประเทศไทยยังอยู่ในฤดูร้อน ช่วงเวลาที่หลายคนบอกว่าอยากนอนตากแอร์อยู่บ้านมากกว่าจะออกไปไหน แต่กลับกลายเป็นว่า ไปเที่ยวชัยภูมิในครั้งนี้ มีแต่เรื่องราวชื่นตาชื่นใจ เป็นน้ำเย็นที่ราดรดความรุ่มร้อนให้ผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี จะมีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลย รับพลังแห่งความชื่นบาน ทุ่งบัวแดง บึงละหาน รับพลังยามเช้าอันงดงามที่บึงละหาน ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ อันดับ 3 ของประเทศไทย มีพื้นที่กว่า 18,000 ไร่ ครอบคลุมหลายตำบลในอำเภอจัตุรัส สะพานไม้ที่ทอดยาว 450 เมตร ถือเป็นแลนด์มาร์คของบึงละหาน ทุ่งบัวแดงที่บานสะพรั่งตั้งแต่ช่วงเช้าไปถึงยามสาย เป็นเวลาที่อันน่าชื่นตาชื่นใจ นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการล่องเรือชมความงดงามในบึงกว้าง ทั้งในยามเช้าและยามเย็น โดยเฉพาะในเช้าตรู่ของแต่ละวัน นกนาชนิดต่างออกมาหากินในอยู่ในบึง ขณะที่ชาวบ้านที่อาศัยความอุดมสมบูรณ์ของบึงละหาน ก็ออกเรือมาหาสัตว์น้ำไปกินไปขาย

ธรรมชาติของดอกบัวจะเริ่มผลิบานตั้งแต่กลางดึก และจะสะพรั่งอย่างเต็มที่ตั้งแต่ช่วงเช้าไปถึงช่วงสาย แต่เราก็ไม่อาจตัดสินใจได้ว่าควรจะมาเที่ยวชมทุ่งบัวแดงบึงละหานในตอนไหน เพราะความเคลื่อนไหวของธรรมชาติ รวมทั้งวิถีของชาวบ้านในละแวก ไม่เคยหยุดนิ่ง ท่ามกลางความเงียบสงบของบึงขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา ปริมาณพื้นที่กว่า 18,000 ไร่ สะพานไม้ที่ทอดยาวเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านและหน่วยงานในพื้นที่ โดยคนในชุมชนได้บริจาคไม้ในการก่อสร้างสะพาน ประกอบกับไม้หมอนที่ได้จากทางรถไฟเก่าที่ทาง อบจ. ได้สรรหามาใช้ เกิดเป็นสะพานไม้ความยาว 450 เมตร สวยงาม ทรงมนต์ขลัง เป็นแลนด์มาร์คกลางทะเลสาบน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ของประเทศไทย “ละหาน” แปลว่า “ห้วงน้ำ” บึงละหานตั้งอยู่ใน อ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ กินพื้นที่หลายตำบล ด้วยความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ จึงเป็นแหล่งทำมาหากินของชาวบ้านมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการทำประมงน้ำจืด รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม เหมาะกับการพักผ่อนตลอดทั้งวัน เช้าตรู่ที่บึงละหาน คือการรับพลังแห่งวันใหม่ จะชื่นชมแค่บริเวณริมบึง เดินเล่นบนสะพานไม้ หรือจะล่องเรือออกไปชมวิถีชีวิตของชาวประมงที่ตั้งตารอคอยด้วยความหวัง หลังจากที่วางเครื่องดักจับสัตว์น้ำไว้ทั้งคืน ตั้งแต่ตีห้าครึ่ง คือช่วงเวลาที่แสงแรกเริ่มทอประกาย เรือลำน้อย

บึงละหาน อ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ เป็นบึงขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย มีพื้นที่รอบบึงกว้างกว่า 18,500 ไร่ และมีพันธุ์ปลานานาชนิดอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นปลาตะเพียน ปลาตอง ปลาฉลาด ปลาช่อน ปลาชะโด ปลาแรด ปลาเนื้ออ่อน ปลากราย ฯลฯ ชาวบ้านในบริเวณนี้จึงอาศัยบึงแห่งนี้ในการทำประมงน้ำจืด นอกจากปลาสด ๆ จากบึงแล้ว ที่บ้านดอนละนาม ต.ละหาน อ.จัตุรัส ยังมีภูมิปัญญาที่สืบสานกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย เป็นการแปรรูปสัตว์น้ำ ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านได้รวมตัวกันเป็น “กลุ่มแปรรูปสัตว์น้ำดอนละนาม” ผลิตสินค้าชุมชนที่มีชื่อเสียงของจังหวัดชัยภูมิ [caption id="attachment_31043" align="aligncenter" width="800"] แม่ประนอมโชว์ปลากรายตัวใหญ่[/caption] วันนี้เราได้เจอกับ แม่ประนอม-ประนอม นามนภาวรรณ ประธานกลุ่มฯ พร้อมปลาหลากหลายพันธุ์ ที่เตรียมสาธิตการแปรรูปปลาให้ทุกคนได้ชม และชิมเมนูเด็ดประจำถิ่น

มนต์ขลังทางประวัติศาสตร์ คือความงดงามทางวัฒนธรรมที่สะท้อนภาพอดีตอันทรงคุณค่า เรื่องราวแต่ครั้งโบราณของเมืองไทยหลายต่อหลายอย่าง ถือเป็นเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวที่หาชมได้ยาก หากมีโอกาสจึงอยากให้ทุกคนได้เห็นด้วยตาสักครั้ง เช่นเดียวกับทริปนี้ ที่จังหวัดลพบุรี  “หนึ่งเดียวที่ลพบุรี” อีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์นำร่องคุณภาพสูง ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหอการค้าไทย มุ่งมั่นผสานความร่วมมืออย่างเต็มกำลัง ภายใต้โครงการ “ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์สร้างสรรค์”เพื่อผลักดันให้รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เป็น Amazing Experience ที่สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG และนำสู่ความยั่งยืน 1.มรดกทางวัฒนธรรม “ลุ่มน้ำป่าสัก” สำหรับเส้นทางท่องเที่ยวเส้นทางประวัติศาสตร์เมืองละโว้  เริ่มต้นที่ “พิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสัก” ตั้งอยู่ในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จัดแสดงมรดกทางวัฒนธรรมในพื้นที่กักเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งมีการขุดพบหลักฐานสำคัญในด้านโบราณคดี  ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การดำรงชีวิต ตลอดจนความเจริญรุ่งเรืองของชุมชนในบริเวณนี้ [caption id="attachment_30831" align="aligncenter" width="800"] ของว่างยามสาย เมี่ยงคำ และลูกหม่อนสด[/caption] [gallery columns="2" size="full"

สระแก้วเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุดในภาคตะวันออก และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากพื้นที่ส่วนใหญ่ซึ่งเป็นที่ราบและที่ราบสูง รายล้อมด้วยเทือกเขาน้อยใหญ่ เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม เนื่องจากเป็นจังหวัดที่ติดชายแดนไทย-กัมพูชา จึงมีคนหลายเชื้อชาติ ทั้งเขมร ญวน (เวียดนาม​) และลาว เข้ามาอาศัยอยู่ เราได้เดินทางสู่จังหวัดสระแก้วเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ได้ตื่นตาตื่นใจกับเรื่องราวอันหลากหลายแง่มุม ทั้งธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม และนี่คือ 12 เรื่องราวที่ชวนมอง ในเมืองรองที่ไม่เป็นสองรองใครแห่งนี้ 1.กราบหลวงปู่บุดดา ชมโบสถ์มหาอุต วัดป่าใต้พัฒนาราม อยู่ใน อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว เป็นจุดแรกที่อยากแนะนำสำหรับการเริ่มต้นทริปเพื่อความเป็นสิริมงคล ชวนกันไปกราบไหว้ “หลวงปู่บุดดา ปัญญาธโร” พระเกจิอาวุโสที่มีความเมตตาธรรมบารมีสูงส่ง และมีชีวิตอยู่มาถึง 6 รัชกาล หรือ 6 แผ่นดิน มรณภาพเมื่อวันที่ 13

เคยได้ยินคนกรุงเก่าเล่าว่า สมัยก่อนเรือเป็นพาหนะหลักของคนอยุธยา เวลาล่องสวนกันก็จะพอมีเวลาทักทายถามสารทุกข์สุกดิบกันได้ เป็นชีวิตแบบช้า ๆ เนิบ ๆ ลมพัดโชย เย็นสบาย ฟังแล้วก็อยากจะย้อนไปดูให้เห็นกับตา ปัจจุบันการสัญจรทางน้ำของชาวอยุธยาก็ยังพอมีเรือพื้นบ้านให้เห็นอยู่บ้าง  แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรือแบบใช้เครื่องยนต์ที่วิ่งไวกว่า เป็น “วิถีชาวน้ำแห่งอยุธยา” ที่ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่ก็ไม่ทิ้งรากเหง้าอันแข็งแกร่ง ที่คนกับสายน้ำยังคงผูกพันธ์กันเช่นเดิม อยุธยาในวันนี้ยังมีกลิ่นอายของวันวานให้ชวนกันไปชื่นชมเสมอ  เชื่อแน่ว่าเมื่อนึกถึงการไหว้พระเสริมสิริมงคล เราจะนึกถึงอยุธยา เช่นเดียวกับที่นึกว่า อยากถ่ายรูปย้อนยุค  อยากย้อนประวัติศาสตร์ อยากกินก๋วยเตี๋ยวเรือ อยากกินโรตีสายไหม อยากกินกุ้งแม่น้ำ อยากกินอาหารไทยโบราณ ฯลฯ เราก็จะนึกถึงอยุธยา ไม่นานมานี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหอการค้าไทย จัดกิจกรรมท่องเที่ยวเส้นทางประวัติศาสตร์  สัมผัสเส้นทางวิถีแห่งสายน้ำ ณ พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 25 - 26

หวดนึ่งข้าวเหนียวถูกย่อไซส์ให้เล็กลงพอที่จะตั้งไว้บนกระบอกไม้ไผ่ เป็นหนึ่งในไอเดียจาก “กาแฟช้างป่า” กาแฟเพื่อความยังยืนของชุมชน และเป็นมิตรกับช้างป่า จากอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี [caption id="attachment_30431" align="aligncenter" width="800"] ภาชนะจากกาบกล้วย[/caption] นี่คืออุปกรณ์ที่เรียกว่า “ดริปไม้ไผ่” หนึ่งในผลิตภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติที่ผสมผสานภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่มีความเท่ เก๋ ไม่เหมือนใคร ในงานสังคมสุขใจ ครั้งที่ 8 ที่สวนสามพราน ซึ่งเป็นงานรวมพลังสังคมอินทรีย์ ที่นอกเหนือจากการได้มาช้อปปิ้งสินค้าทั้งของกินของใช้ที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมจากเครือข่ายเกษตรกรจากทั่วประเทศแล้ว งานนี้ยังรวมองค์ความรู้ที่น่าสนใจสำหรับคนที่รักในวิถีธรรมชาติ และเชื่อมั่นว่า พลังเล็ก ๆ ของสังคมอินทรีย์ที่ยังมีสัดส่วนที่น้อยมากในเมืองไทย จะค่อย ๆ ขยายตัวพร้อมก้าวสู่สังคมที่สุขใจยิ่ง ๆ ขึ้นไปในวงกว้าง [caption id="attachment_30442" align="aligncenter" width="900"] การห่อผักด้วยกาบของหัวปลี แล้วมัดด้วยเชือกจากไผ่[/caption]  อีกเรื่องราวที่น่าสนใจจากงานนี้ ก็คือไอเดียในการออกแบบสินค้า อาหาร ของกิน

Profit (ผลกำไร) People (คน) และ Planet (โลก) ยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญในทำการทำธุรกิจในโลกปัจจุบัน แต่สำหรับธุรกิจที่มีเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนอย่างแท้จริง คงต้องลำดับความสำคัญอีกแบบ โดยเริ่มต้น Planet, People แล้วตามด้วย Profit คำอธิบายที่ทำให้เห็นภาพของคำว่า “ธุรกิจเพื่อสังคม”  จาก “พิเชษฐ โตนิติวงศ์” ผู้จัดการไปทั่ว บริษัท ธรรมธุรกิจ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด หนึ่งในต้นแบบของวิสาหกิจเพื่อสังคม ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ ปี 2556 ก่อนที่คำว่า SE จะเข้ามามีบทบาทในเมืองไทย [gallery columns="2" size="full" ids="30371,30372"] สวส. กับการผลักดัน SE ในเมืองไทย เมื่อกระแสโลกมุ่งหวังการพึ่งพาและเกื้อกูลกันเพื่อสร้างความสมดุล ประเทศไทยจึงมีการจัดตั้ง สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม

กว่า 10 ปีจากการสร้างสรรค์ในเส้นทาง “สามพรานโมเดล” แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า โลกเราดีขึ้นได้ด้วยสังคมสุขใจ พลังเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ ที่ดีต่อเรา ดีต่อโลก สร้างความเข้มแข็งทั้งกายใจให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขยายภาพ “เศรษฐกิจสีเขียว” ให้ชัดเจน ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังเป็นความหวังของโลกในวันนี้และในอนาคต หากเดินทางไปเที่ยวหรือผ่านไปสวนสามพราน ในทุกวันเสาร์-อาทิตย์ อาจจะเคยแวะชม ชิม ช้อป กันที่ “ตลาดสุขใจ” ตลาดน่ารัก ๆ รวมของกินของใช้จากเกษตรอินทรีย์ที่ดีต่อใจ โดยแต่ละปีก็จะมีการจัดงานใหญ่ เพื่อแสดงพลังเครือข่ายเกษตรกรอินทรีย์จากทั่วประเทศ จึงเป็นงานที่หลายคนเฝ้ารอ เพราะจะมีของดีที่มั่นใจได้มาให้เราได้เลือกสรร ถือเป็นอีกงานที่คนรักสุขภาพ รักธรรมชาติ รักสังคม รักสิ่งแวดล้อม ได้มาพบเจอกัน หลังจากโควิด 19 ผ่านไป ความสุขที่หลายคนรอคอยก็กลับมาอีกครั้ง กับ “งานสังคมสุขใจ ครั้งที่ 8”  ซึ่งเป็นการรวมพลังของ มูลนิธิสังคมสุขใจ

ความเข้มแข็งของชุมชน คือปัจจัยสำคัญของการท่องเที่ยวเพื่อความยั่งยืน ไม่ว่านโยบายภาครัฐหรือหน่วยงานใด ๆ จะประกาศออกมาเสียงดังแค่ไหน แต่หาก “คน” ซึ่งเป็นฟันเฟืองหลักไม่เห็นความสำคัญ มันก็เปล่าประโยชน์ โมเดลเศรษฐกิจ BCG คือ หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) เป็นแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ท่ามกลางภาวะวิกฤตทางธรรมชาติของโลก และการเรียกหาความเป็นธรรมต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมจากผู้ผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ จนกลายเป็นแนวทางหนึ่งสำหรับการพัฒนาการท่องเที่ยวของไทย [gallery columns="2" size="full" ids="30152,30141"] จากการเดินทางที่ผ่านมาทำให้พบว่า ปัจจุบันมีกลุ่มหรือชุมชนเข้มแข็งร่วมผลักดันการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ หนึ่งในนั้นคือชุมชนน่ารัก ๆ อย่าง “วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่าง” โดยมีศูนย์กลางการเรียนรู้อยู่ที่ “สุวรรณลักษณ์ รีสอร์ท” ที่พักกึ่งโฮมสเตย์ริมทะเลที่มีเอกลักษณ์จาก “หาดทรายแดง” มีวิวเกาะช้างอยู่เบื้องหน้า ด้านหลังมีเนินเขาเล็ก ๆ รายล้อมด้วยต้นไม้นานาพรรณ ปัจจุบัน “สมอร์ฮิลล์”

อย่างแรกเลย หลังจากรู้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน เรามักจะถามกันว่า แล้วจะไปกินอะไร และนี่คือพลังของ Gastronomy Tourism เพราะการได้ลิ้มชิมรสเมนูเด็ดของเจ้าถิ่น คือความฟินระดับที่มิชลินไม่ต้องไกด์ เรื่องของอาหารเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน เสมือนครัวของแต่ละบ้านย่อมมีจานอร่อยของตัวเอง จังหวัดตราด สุดเขตแดนตะวันออกของไทย เป็นอีกดินแดนแห่งความฝัน สวรรค์ของนักชิม จากวัตถุดิบและภูมิปัญญาอันเป็นเอกลักษณ์ เป็นอีกเสน่ห์ที่ชวนให้สัมผัส จนไม่อยากให้พลาด ปลาย่ำสวาท เมนูสุดต๊าซแห่งท้องทะเลตราด เพราะฟังแค่ชื่อก็น่าสนใจแล้ว สำหรับ “ปลาย่ำสวาท” จึงขอเลือกมาเป็นเบอร์ 1 ในดวงใจสำหรับการนำเสนอในครั้งนี้ ชื่อจริงของมันคือ “ปลากะรังจุดฟ้า” ดูแล้วงามตาน่าชม แต่พอได้ลิ้มลองก็ขอเปลี่ยนเป็น “น่ากิน” ด้วยแล้วกัน นี่คือปลาประจำถิ่นตราด ที่หารับประทานได้ยากในแหล่งอื่น เป็นปลาไทยเนื้อดี ทำเมนูไหนก็อร่อย โดยเฉพาะ  “ซาชิมิ” หรือ “ปลาดิบ” มีทั้งปลาธรรมชาติและแบบเลี้ยง ราคากิโลละเป็นพัน ที่มาของชื่อ “ปลาย่ำสวาท” มาจากลักษณะวงจรชีวิตของปลาชนิดนี้ ตัวแม่จะวางไข่ในทะเล