Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam erat volutpat. Ut wisi enim

Subscribe to our newsletter

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam
[contact-form-7 id="9582" html_class="default"]

“ลำไย” ที่คลองโคน

หากเป็นเรือของชาวบ้านที่แล่นผ่านไปผ่านมา เหล่าชาวลิงก็คุ้นเคยดีว่า พวกมันจะหวังใจอะไรกับคนกลุ่มนี้ไม่ได้ …เรือที่แล่นมาก็แค่แล่นไปตามปกติวิถี

เหล่าลิงคงคิดและอาจจะเคยจับกลุ่มปรึกษากันว่า พวกมนุษย์ที่เคยแล่นเรือผ่านมาแล้วหยุดเฝ้ามองเข้าไปในป่าโกงกาง พวกเขาหายกันไปไหน เป็นเดือน เป็นปี หรือเป็นเวลาเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

เดือนกันยายนหลังผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ จากสถานการณ์โควิด-19 ผู้คนก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง แต่ที่คลองโคน ป่าชายเลนปากแม่น้ำแม่กลอง จ.สมุทรสงคราม ยังคงเงียบเหงา

อาจจะเป็นเพราะ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม เป็นดินแดนสองสมุทรที่อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด ที่ยังต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ในตัวหมู่บ้านคลองโคน ที่เคยคึกคักด้วยนักท่องเที่ยว เนื่องจากมีทั้งที่พัก ร้านอาหาร และกิจกรรมท่องเที่ยวมากมาย ยังคงเงียบเหงา ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบนิ่ง

แม้ร้านอาหาร และที่พักส่วนใหญ่ยังไม่เปิดให้บริการ แต่ร้านขายของฝากของทีระลึกยังคงเฝ้าคอยผู้เดินทางผ่านมา เนื่องจากมีผู้คนจำนวนไม่น้อย ที่ไปหรือกลับจากเพชรบุรี เลือกใช้เส้นทางเลียบชายฝั่งบ้านแหลมและผ่านมาทางคลองโคน

เช่นเดียวกับที่ “บ้านไม้ชายเลน” ที่ยังคงปิดที่พัก และร้านอาหาร แต่เมื่อมีนักเดินทางผ่านเข้ามาเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เพียง 4 คน ซึ่งยืนยันได้ว่าได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วทุกคน พวกเขามาด้วยความโหยหาธรรมชาติ และต้องการเพียงแค่ได้ล่องเรือออกไปรับอากาศบริสุทธิ์ อย่างที่เคยทำมาก่อน และที่ไม่เคยทำมาก่อนเลยในชีวิต

ใช่แล้ว…หนึ่งในนั้นไม่เคยล่องเรืออะไรทำนองนี้มาก่อน หญิงสาวที่ใช้ชีวิตในป่าปูนมาชั่วชีวิต หน้าที่หลักคือการวนเวียนอยู่วงสังคมไฮโซและเซเลบริตี้ เธอพักอาศัยอยู่ตามลำพังในคอนโดสูงย่านใจกลางเมือง น้อยครั้งนักที่จะได้ออกมาสัมผัสบรรยากาศแบบชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป ขณะที่อีกสามคน เป็นกลุ่มนักเดินทางที่เคยนั่งเรือมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่บางคนก็ไม่เคยมาเยือนคลองโคนมาก่อน

เรือของชาวบ้านแล่นผ่านป่าชายเลนที่คลองโคน

หลังจากที่ติดต่อเจ้าหน้าที่ของทางรีสอร์ต ตกลงราคาค่าเหมาเรือหางยาวของชาวบ้าน 1,000 บาท เดิมทีเคยมีบริการสั่งอาหารไปรับประทานบนกระเตง (ขนำกลางทะเล) ซึ่งเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของคลองโคน แต่ช่วงนี้ทางรีสอร์ตยังงดให้บริการเสิร์ฟอาหาร จึงทำได้เพียงสั่งอาหารทะเลเอาไว้ เพื่อนำกลับไปรับประทานที่รีสอร์ตในย่านอัมพวา ซึ่งได้จองมาล่วงหน้าแล้ว จึงออเดอร์กุ้งทะเลเผา 1 กิโลกรัม ราคา 450 บาท รวมค่าจัดการ ค่าน้ำจิ้ม เบ็ดเสร็จ 520 บาท สั่งไว้ก่อนลงเรือ ขึ้นฝั่งมาค่อยนำกลับไปอร่อยกัน

จากท่าเรือบ้านไม้ชายเลน  ซึ่งเป็นหนึ่งในหลาย ๆ แห่งในตัวหมู่บ้านคลองโคน ที่ให้บริการล่องเรือไปชมการทำประมงชายฝั่งอย่างการเลี้ยงหอยแครง

ออกจากท่าเรือในหมู่บ้าน มุ่งสู่ทะเลกว้าง

ออกจากหมู่บ้าน ผ่านแนวบ้านเรือน รวมทั้งรีสอร์ตเล็ก ๆ เรียงรายลักษณะแบบโฮมเสตย์ ส่วนใหญ่ที่เห็นก็ยังปิดประตูอยู่อย่างเงียบเหงา

ช่วงหน้าฝนท้องฟ้ายังคงอึมครึม ก่อนจะออกสู่ท้องทะเล นายท้ายเหวี่ยงหางเสือเลี้ยวเข้าป่าโกงกาง แหล่งอนุบาล กุ้ง หอย ปู ปลา ที่เป็นอาหารสำหรับชาวบ้าน ระบบนิเวศชั้นเยี่ยมที่ช่วยป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง

ทันทีที่เข้ามาในพื้นที่เขียวชอุ่ม ทุกคนก็ได้รับพลังงานพิเศษบางอย่าง อาจจะเป็นเพราะห่างหายจากธรรมชาติไปนาน และเพราะความร่มรื่นชื่นใจของแนวป่าชายเลน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตออกซิเจนชั้นยอด ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซน์ได้เป็นอย่างดี

เดิมทีป่าชายเลนที่คลองโคนก็เคยประสบปัญหาจากการบุกรุกเพื่อใช้ประโยชน์ในการทำมาหากิน ซึ่งอาจจะเป็นการจัดการที่เคยผิดพลาดมาก่อน จนเมื่อปี 2534 ทุกคนก็เริ่มหันมาตระหนักเพื่อช่วยกันดูแลป่าชายเลนอันมีค่า

และด้วยพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ได้เสด็จมาทรงปลูกป่าชายเลนที่คลองโคนด้วยพระองค์เอง ตั้งแต่ปี 2540 ต่อเนื่องมาอีกหลายปี พร้อมทั้งความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านและอีกหลายภาคส่วน ทำให้ป่าชายเลนแห่งนี้เริ่มฟื้นคืนสภาพจนกลับมาสู่ความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง

ช่วงเวลาที่เรือมุ่งหน้าเข้าไปในป่าชายเลนประมาณห้าโมงเย็น ซึ่งวันนั้นเป็นช่วงน้ำขึ้น นายท้ายบอกกับเราว่า ปกติแล้วจะมีลิงแสมออกมาปรากฎตัว แต่วันนี้น้ำขึ้น และช่วงนี้ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา พวกมันก็อาจจะไม่โผล่มาให้เห็น

แต่หลังจากชมวิวทิวทัศน์ไปสักพัก ขณะที่สาว ๆ ในเรือกำลังเพลิดเพลินกับลำไยในถุงพลาสติก ระหว่างที่มองเข้าไปในความครึ้มของป่า สายตาประกายก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกมายืนสงบนิ่งอยู่เพียงลำพัง

ใช่แล้ว ลิงแสมที่เราไม่คาดว่าจะออกมาต้อนรับแขกแปลกหน้าผู้เดินทางมาในช่วงน้ำขึ้น

ตอนแรกมันก็ยังยืนเป็นเงาตะคุ่มเฝ้าสังเกตการณ์ จากตัวเดียวก็เริ่มส่งสัญญานกันเป็นฝูง คราวนี้ไม่ว่าจะหันซ้ายหันขวาก็เห็นว่าอุ้มลูกอุ้มหลานมากันเป็นขบวน บ้างก็ยืนอยู่ไกล ๆ บริเวณรากโกงกางที่ปริ่มน้ำ บ้างก็ขยับปีนป่ายขึ้นไปบนกิ่งไม้เพื่อให้มองเห็นลำเรือได้ใกล้ที่สุด มีเรือชาวบ้านแล่นผ่านไป 2 ลำ แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่สนใจพวกเขาเลย

..เฉยชากับคนที่เคยชินสินะเจ้าลิง

แล้วช่วงเวลาแห่งความโกลาหลก็บังเกิด เมื่อเสียงก๊อบแก๊บของถุงพลาสติกไปเข้าหูเจ้าวายร้าย มันกระโจนออกมาจากป่า แล้วแหวกว่ายฝ่าด่านน้ำเข้ามาใกล้ กำลังจดจ่อกับลีลาของลิงในท่าฟรีสไตล์ แค่เพียงสองสามชัตเตอร์ผ่านไปเท่านั้น เจ้าตัวก่อการก็ปรี่ขึ้นมาบนเรือ เป็นเวลาเดียวกับที่หน่วยสนับสนุนอีกตัว ได้ยึดหัวเรือไว้แล้ว

นายท้ายเห็นท่าไม่ดี  จึงตะโกนไล่เจ้าลิงอยู่แล้วพุ่งมาสกัดกั้นถึงหัวเรือ ขณะที่ตัวก่อการที่ไม่รู้วางแผนไว้ตอนไหนว่า เมื่อตัวหลอกเรียกนายท้ายไปหัวเรือได้แล้ว มันจะพุ่งไปที่เป้าหมาย แล้วกระชากถุงลำไยไปในทันที

ที่ว่ามาเมื่อสองบรรทัดด้านบน เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น! 

เสียงวี้ดว้ายเหมือนจะทำให้พวกมันได้ใจ  ชักชวนออกมากันใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะเบี่ยงเบนความสนใจไปที่ชัยชนะในภารกิจครั้งนี้ ทุกตัวพุ่งเข้าไปรุมกันที่ถุงลำไย ยื้อแย่งกันอย่างชุลมุน เป็นช่วงโกลาหลอีกไม่กี่วินาทีต่อเนื่องจากที่ผ่านมา

และดูเหมือนว่า  พวกมันจะอ่านเกมพลาด ตัวก่อการอาจจะถูกเพื่อนฝูงประณามครั้งใหญ่ เพราะภายในถุงลำไย เหลือเพียงเปลือกและเมล็ดที่สาว ๆ กินเหลือไว้เท่านั้น

แผนการอันแยบยล ว่องไว…แต่มันก็สายเกินไป

เรือเคลื่อนออกจากจุดเกิดเหตุออกมาไกลแล้ว ยังคงได้ยินเสียงพร่ำบ่นของเหล่าลิงผู้ผิดหวัง นายท้ายบอกว่า ช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา บางคนก็โยนอาหารให้พวกมันกิน ทำให้ฝูงลิงยังคงเฝ้าคอย ทางที่ดีอย่านำอาหารลงมาในเรือดีกว่า ที่ผ่านมาลิงไม่ได้ทำร้ายใคร แต่เกรงว่าหากในเรือตกใจเบอร์แรงพยายามหลบเลี่ยงเจ้าตัวซนที่กระโจนเข้ามา ก็อาจจะทำให้เรือล่มหรืออุบัติเหตุอื่น ๆ ได้ เสื้อชูชีพที่มีกฎบังคับให้ใส่มา จึงสำคัญฉะนี้

ซ้าย-สมุทรสงคราม ขวา-เพชรบุรี

ออกมาจากป่าด้วยความฮาในนาทีโกลาหล แล้วภาพก็ตัดเข้าสาระโดยทันทีที่นายท้ายระบุว่า ปากทางฝั่งซ้ายของป่าโกงกางเป็นพื้นที่ของสมุทรสงคราม แต่หากมองไปทางขวา ก็จะเป็นพื้นที่ของเพชรบุรี ฝั่งของชาวคลองโคนก็จะมีการทำฟาร์มหอยแครงกันมาก ซึ่งวันนี้ก็ได้เห็นชาวประมงออกลากอวนหอยแครงในพื้นที่ของตัวเองอยู่บ้าง

เรือมุ่งตรงเข้าไปในย่านกระเตง  ที่มีไม้หลักปักเป็นแนวอยู่เป็นระยะ บ่งบอกถึงพื้นที่การเลี้ยงหอยแครงของแต่ละเจ้า ซึ่งเรือของผู้ไม่เกี่ยวข้องไม่ควรเข้าไป หากเป็นช่วงน้ำลง จะมีกิจกรรม “แถกเลน” หรือ “แถกโคลน” การทรงตัวบนแผ่นกระดานเพื่อไถลตัวไปในโคลน เพื่องมหอยแครง เพราะความลึกของโคลนในแถบนี้ เท่าที่เคยสัมผัสก็เกือบถึงต้นขา หากยืนนิ่ง ๆ นาน ๆ ก็อาจจะโดนดูดไปถึงเอวก็เป็นได้

เราผ่านแนวกระเตงในยามเย็น เป็นช่วงที่ภาพความเงียบเหงาสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน แต่ทุกกระเตงต้องมีชาวบ้านผู้เลี้ยงหอยเฝ้าอยู่ ดีหน่อยที่ปัจจุบันสามารถติดกล้องวงจรปิดได้ ทำให้ไม่ต้องคอยมาสอดส่องมากนัก

กระเตงที่มีขนาดใหญ่ เคยเป็นที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว อย่างกระเตงของบ้านไม้ชายเลน ซึ่งเคยเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และรับประทานอาหาร และมีอีกกระเตงหนึ่งของทางรีสอร์ต ที่ใช้เป็นฟาร์มหอยนางรม ซึ่งเป็นพันธุ์จากสุราษฎร์ธานี

นายท้ายบอกว่าเขากำลังพาหอยไปปล่อย มีคนถามว่า “ปล่อยทำไม” เขาพาไปปล่อยในพื้นที่เลี้ยงนั่นเอง

จากนั้นนายท้ายพาเราไปเกาะขอบกระชังหอยนางรม ซึ่งเลี้ยงแบบธรรมชาติ โดยการหย่อนก้อนหินลงไป ยึดเชือกไว้กับแนวไม้ แล้วพวกมันจะเข้ามาเกาะกลุ่มกันเองตามธรรมชาติ

วันนี้นายท้ายพยายามกะเทาะเปลือกหอยนางรมด้วยอุปกรณ์ที่เตรียมมา สาวสังคมถึงกับจ้องตาไม่กระพริบ เพราะถือเป็นประสบการณ์ใหม่ของเธอ

ฟ้ายังคงครึ้ม เราเห็นแนวฝนอยู่ไกล ๆ บนฟากฟ้า เมฆหนาทำให้ไม่เห็นแสงของพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ทิ้งตัวลงมา แต่นั่นไม่ใช่สาระที่สำคัญนักของวันนี้

ด้วยเกรงว่าจะไปถึงที่พักค่ำมืดเกินไป จึงบอกนายท้ายหันหัวเรือกลับฝั่ง เรือแล่นผ่านความเงียบ แต่เสียงเครื่องเรือทำงานดูหนักแน่นกว่าเก่า

ใช่…เราเองก็เหมือนฝูงลิงที่เฝ้ารอ เมื่อได้กลับมาอีกครั้งก็กระโจนเข้าหาความปลอดโปร่งและพยายามยื้อฉุดมันไว้ เพียงหวังจะได้ดื่มด่ำกับพลังอันบริสุทธิ์ให้เต็มที่

แต่เรามีกุ้งที่สั่งไว้ หาใช่ (เปลือก) “ลำไย” นะเจ้าลิง

ล่องเรือคลองโคนกับ “บ้านไม้ชายเลนรีสอร์ต”

โทร.0 3476 4789

อัพเดทบรรยากาศและสถานการณ์ได้ทาง Facebook/BaanmaichailaneResort 

Post a comment

14 − one =