Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam erat volutpat. Ut wisi enim

Subscribe to our newsletter

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam
[contact-form-7 id="9582" html_class="default"]

meet&EAT

ความรู้สึกแรกเห็นเมื่อมาถึง ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. แม่ออน คือ ภาพความสดชื่นของแมกไม้ ท้องฟ้าแจ่มใส มีอาคารที่ออกแบบคล้ายกำแพงเมืองโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ สะดุดตากับเจ้ามาสคอตสีสดใส ได้รับทราบว่าเป็นหนึ่งในมาสคอตของศูนย์เรียนรู้ของ กฟผ. ซึ่งมีอยู่กว่า 10 คาแรคเตอร์ อย่าง "น้องถ่านน้อย" และ "น้องบัวตอง" ที่พิพิธภัณฑ์ศูนย์ถ่านหินลิกไนต์ศึกษา (เหมืองแม่เมาะ) จ.ลำปาง และ "น้องซันนี่" แห่งศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. แม่ออน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากดวงอาทิตย์ การออกแบบที่สะท้อนถึงพลังแห่งดวงอาทิตย์ ยังถ่ายทอดเป็นโลโก้ของศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. แม่ออน รัศมีที่แผ่ขยายหลากหลายสี หากมองดูดี ๆ ก็จะเห็นเป็นตัว E มาล้อมต่อกัน ตัว E นี้หมายถึง Electric หรือไฟฟ้า

ก่อนที่เครื่องจะลงจอด ภาพแรกที่ลำปางส่งมาทักทาย คือทิวเขาที่เรียงรายสลับซับซ้อน เป็นวิวนอกหน้าต่างแบบ First Impression ถือเป็นของขวัญจากฤดูกาลที่แสนสดชื่น นักท่องเที่ยวมักจะขึ้นเหนือตอนหน้าหนาว แต่หน้าฝนที่ลำปางไม่มีคำว่าเฉา แค่ภาพแรกที่ออกมาต้อนรับก็กินขาด สำหรับคนที่ไม่กลัวสายฝน ไม่ว่าจะเที่ยวป่า เที่ยวทะเล หรือภูเขา เราก็มองฤดูกาลนี้ด้วยความชุ่มเย็นหัวใจ เหมาะกับการผ่อนคลายแบบเนิบช้า ทริปนี้มุ่งหน้ามายังจังหวัดลำปาง เพื่อศึกษาดูงานในพื้นที่การเรียนรู้ กฟผ. ภาคเหนือ โดยมีเป้าหมายแรกที่ พิพิธภัณฑ์ศูนย์ถ่านหินลิกไนต์ศึกษา เหมืองแม่เมาะ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง “เหมืองแม่เมาะ” เป็นแหล่งถ่านหินลิกไนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. เป็นผู้ดูแลเหมืองแม่เมาะมาตั้งแต่ปี 2512 ก่อนที่จะเริ่มสร้างโรงไฟฟ้าลิกไนต์เมื่อปี 2515 และเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2528 รวม ๆ ก็ 40 ปีแล้ว ที่โรงไฟฟ้าแห่งนี้ได้สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับคนไทย

นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็นปูน้อยวิ่งเล่นบนชายหาด หอยตัวเป็น ๆ เดินอ้อยอิ่งบนผืนทราย มีรูกั้งกระจายไปทั่ว ยามน้ำลงชวนกันออกมาคราดหอยตลับ ส่วนใครที่วางอวนแค่แป๊บ ๆ ก็ได้ปลากลับมาทำกับข้าว ความอุดมสมบูรณ์มันเป็นแบบนี้นี่เอง

ผู้คนมักจะโอดครวญถึงความรักว่าสิ่งที่อยู่ใกล้อาจจะดูไร้ค่า ต่างโทษว่าความเคยชินทำให้จบสิ้นการค้นหา เราจะไม่ถกเถียงกันในประเด็นความรู้สึก แต่อยากจะนึกถึงเรื่องที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่กำลังจะพูดถึง คนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งที่กำเนิด เติบโต หรือเข้ามาใช้ชีวิตอยู่นานแล้ว อาจจะเคยได้รับคำถามว่า ไม่เบื่อบ้างหรือไร กับการอยู่ในเมืองที่มีแต่ตึก ฝุ่นควันมากมาย การจราจรล่มสลาย ผู้คนต่างตะเกียกตะกาย ถ้าความเบื่อหน่ายเป็นอีกหนึ่งอารมณ์ความรู้สึก ก็ต้องยอมรับว่ามีบ้าง แต่คงไม่จำกัดเฉพาะเมืองกรุง เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ธรรมชาติของอุปสรรคก็ดักหลุมอารมณ์เราทั้งนั้น แต่ก็ยอมรับอยู่บ้างว่าความใกล้อาจจะทำให้เรามองข้ามอะไรไปบางอย่าง ทุกครั้งที่มีโอกาสก็อยากพาตัวเองออกไปให้ไกลเท่าไหร่ยิ่งดี 5 นาที หนีกรุงไปคุ้งบางกระเจ้า เราเดินทางจากกรุงเทพสู่ “คุ้งบางกระเจ้า” อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ โดยใช้ 5 นาที แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าแวบไปเที่ยวต่างจังหวัด จากท่าเรือวัดคลองเตยนอก นั่งเรือข้ามฟากไปยังท่ากำนันขาว เพียงแค่นั้นเรื่องราวก็เปลี่ยน เริ่มตั้งแต่เช่าจักรยานปั่นออกไปในสไตล์รักษ์โลกแบบโลว์คาร์บอน คุ้งบางกระเจ้า ได้รับขนานนามว่า “ปอดของกรุงเทพ” มีลักษณะคล้ายเกาะ พื้นที่ขนาด 12,000 ไร่ ล้อมด้วยโค้งน้ำไว้เกือบรอบ ประกอบด้วยพื้นที่สีเขียวราว 7,000 ไร่

ถ้าเป็นเชิงการท่องเที่ยว เพชรบุรีก็มีครบรสทั้งภูเขา ทะเล ประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม ไปจนถึงความร่วมสมัย  ในด้านรสชาติเพชรบุรียังเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหารของยูเนสโก และได้ชื่อว่า “เพชรบุรีเมือง 3 รส” ทั้งหวาน เค็ม เปรี้ยว จากแหล่งกำเนิดแห่งภูมิปัญญา ไม่ว่าจะเป็นการทำนาเกลือ การทำน้ำตาลโตนด และการปลูกมะนาว ความโดดเด่นที่ว่านี้ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ผ่านเรื่องราว เรื่องเล่า รวมทั้งประวัติศาสตร์อันยาว และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ความคิดสร้างสรรค์ถูกนำมาต่อยอดเป็นมื้อพิเศษ ในกิจกรรม “กาล่า ดินเนอร์ เชฟส์เทเบิ้ล” ณ พระนครคีรี ในงานเทศกาลพระนครคีรี-เมืองเพชร ครั้งที่ 38 ซึ่งปีนี้มีความคึกคักกว่าทุกปี เมื่อเร็ว ๆ นี้ จังหวัดเพชรบุรี ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือทีเส็บ จัดกิจกรรม

ได้ชื่อว่า “บ้านแห่งความรัก”​ เพราะดั้งเดิมเจ้าของบ้านหลังนี้เป็นขุนนางที่พบรักกับหญิงสาวชาววัง จากนั้นก็ตกลงปลงใจร่วมหอครองเรือนในคฤหาสน์แสนสวยริมแม่น้ำเจ้าพระยา จนมีทายาทด้วยกัน 10 คน กลิ่นอายของความโรแมนติกแบบย้อนยุค ทำให้ปัจจุบัน “บ้านบางยี่ขัน” หรือ “พระยาพาลาซโซ” อยู่ในช่วงเวลาแห่งความทรงจำแสนพิเศษของใครหลายคน เรื่องราวกว่า 100 ปีของ “พระยาพาลาซโซ”​ ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความงดงามในหลากหลายแง่มุม จากบ้านแห่งความรัก มาสู่สถานที่แห่งโอกาสทางการศึกษา ก่อนที่ความรักจะพลิกฟื้นคืนอดีตอันทรงคุณค่ากลับมาอีกครั้ง Praya Palazzo สำหรับประวัติของพระยาพาลาซโซ  เป็นเรือนหอที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2466 ในสมัย “พระพุทธเจ้าหลวง” พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในช่วงที่การค้าและการสัญจรทางน้ำมีความเฟื่องฟูมาก [gallery columns="2" size="full" ids="34751,34752"] บ้านหลังนี้เป็นของ “อำมาตย์เอก พระยาชลภูมิพานิช” ซึ่งเป็นขุนนางและคหบดีผู้มั่งคั่ง ที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทพระพุทธเจ้าหลวง ร.5 โดยรับราชกาลในกรมท่าซ้าย กระทรวงมหาดไทย

ความแตกต่างของฤดูกาลเป็นสิ่งนำพาให้เราเดินทางมายังเขาค้อ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก็แปลกใหม่อยู่เสมอ ถึงขั้นเคยถามตัวเองว่า หากได้ปักหลักอยู่ที่นี่ จะรู้สึกตื่นเต้น ยินดี เหมือนที่เคยเป็นเพียงผู้มาเยือนหรือไม่ ตั้งแต่หน้าฝนไปจนถึงหน้าหนาวของทุกปี เป็นช่วงที่เขาค้อบรรจงถักทอธรรมชาติอันงดงาม ด้วยสภาพอากาศที่เย็นสบาย มองไปทางไหนก็ดีต่อใจ หากความแตกต่างของบรรยากาศ เป็นหนึ่งในความสุขที่ได้สัมผัสเมื่อมาเยือนเขาค้อ รสชาติแปลกใหม่ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น หลายคนทราบดีว่า เขาค้อมีทั้งที่พัก ที่กิน ที่ชิล ให้เลือกหลากหลาย รอบนี้เรามาเจอกับร้านอาหารสวยในสไตล์ที่แตกต่างชื่อว่า “นมัสเต”(Namaste) “นมัสเต” ในภาษาอินเดีย แปลว่า “สวัสดี” “นมัสเต เขาค้อ” จึงหมายถึง “สวัสดีเขาค้อ” นั่นเอง ถ้ามองภายนอกตัวร้าน อาจจะพอเดาได้แล้วว่า ร้านอาหารแห่งนี้มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งป้ายเขาเขียนไว้ชัดเจนแล้วว่าเป็นอาหารมุสลิมสไตล์อินเดีย จึงทำให้ไม่ต้องเดากันมากนัก ร้านนมัสเต@เขาค้อ เสิร์ฟอาหารมุมลิมสไตล์อินเดีย รวมทั้งอาหารไทยหลายหลายเมนู เป็นร้านอาหารฮาลาลเพียงไม่กี่ร้านบนเขาค้อ แต่ก็ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกชาติศาสนา ให้เข้ามาลิ้มลองความอร่อยท่ามกลางบรรยากาศอันอบอุ่นของเขาค้อ และเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ลิ้มลองรสชาติแปลกใหม่กัน เริ่มต้น “นมัสเต” ด้วยของทานเล่นสไตล์อินเดียอย่าง

เปลวไฟที่ลุกโชน ควันโขมงโฉงเฉง ลีลาการเคาะกระทะอย่างเชี่ยวชาญ คลอด้วยเสียงคุยหยอกล้อทีเล่นทีจริงของเชฟ เหมือนคน “ปรุงไปบ่นไป” ให้เพื่อนฟัง สิ่งเหล่านี้คือบรรยากาศของร้านอาหารบนภูเขาที่ได้ชื่อว่าบรรยากาศโรแมนติกสุด ๆ ของเมืองไทย ไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองขั้วที่แตกต่างถูกมาจัดวางให้เข้ากันได้อย่างลงตัว ครัวเปิดอันน่าตื่นตาตื่นใจของร้านอาหารโบราณนิยม กลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักชิมทั้งขาประจำและขาจร โดยมีแม่เหล็กอย่าง “เชฟตวง” เป็นทุกอย่างให้กับทุกรอยยิ้ม หน้าไม่งอ รอไม่นาน หากคุณเดินทางมาเยือนเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ และกำลังมองหาประสบการณ์การรับประทานอาหารที่แตกต่าง ร้าน "โบราณนิยม โดยเชฟตวง" คือสถานที่ที่ไม่ควรพลาด ด้วยการตกแต่งร้านในสไตล์บ้านไม้โบราณ ผสมผสานกับกลิ่นอายความเป็นวินเทจ ทำให้บรรยากาศอบอุ่นเหมือนย้อนเวลากลับไปในอดีต ร้านตั้งอยู่ในทำเลที่สวยงาม รายล้อมด้วยธรรมชาติ เราได้คุยกับเชฟตวงแค่เพียงครู่ ในช่วงที่ออร์เดอร์เริ่มซา แต่ก่อนหน้านั้นได้สังเกตว่า เชฟตวงทำอาหารเร็วมาก แต่ละเมนูเน้นออกไว ทันใจ ไม่หงุดหงิด เพราะเชฟย้ำว่า “ลูกค้าจะได้ไปเที่ยวกันต่อ ไม่ต้องรอให้เสียเวลา” เพราะอย่าลืมว่าเขาค้อ คือเมืองท่องเที่ยว เมนูที่ใช้กระทะส่วนใหญ่เชฟจะปล่อยไฟให้ลุกโชน ใครได้เห็นก็ว้าว

หากต้องดำรงชีวิตในถ้ำที่รายล้อมด้วยภูเขาน้อยใหญ่ การก่อไฟปรุงอาหารเป็นภาพหนึ่งในจินตนาการ  ตามวิถีดั้งเดิมจากประกายไฟและไออุ่น ที่ได้สร้างความผูกพันและการเป็นอยู่ให้กับผู้คนในหลากวัฒนธรรมมาอย่างเนิ่นนาน

เพราะหัวใจสำคัญของการปรุงอาหาร มาจากการคัดสรรสิ่งดี ๆ ในทุกองค์ประกอบ หากมองย้อนไปในครัวไทย กับข้าวของคุณย่า คุณยาย คุณแม่ ล้วนเต็มไปด้วยความรักและปรารถนาดี  การทำร้านอาหารเพื่อสร้างความสุขให้กับผู้คน จึงไม่จบลงแค่ความอิ่มอร่อยเท่านั้น

วันนี้จะชวนเข้าไปสัมผัสรสชาติใหม่จากการรังสรรค์อย่างพิถิพิถัน เริ่มจากตัวร้านที่อิงแอบอยู่เหมือนถ้ำที่ซ่อนตัวอยู่กลางเมืองใหญ่ นำเสนอศิลปะการปรุงอาหารด้วยไฟจากฟืนและถ่านได้อย่างน่าทึ่ง
[gallery columns="2" size="full" ids="34324,34325"]
เปิดตัว La Braci BKK

La Braci ร้านอาหารสไตล์เวสเทิร์น ในรูปแบบ Casual Fine Ding เริ่มเปิดให้บริการ วันที่ 19 พฤศจิกายน  2567  ผู้ก่อตั้งคือเชฟ Sean Lai ซึ่งได้ใช้เวลาในการมองหาวิถีที่ผสมผสานโลกแห่งความทันสมัยกับความเรียบง่ายได้อย่างยั่งยืน โดยได้ตัดสินใจปักหลักทำธุรกิจในเมืองไทย ด้วยสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยในการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ มีผืนดินที่เพาะปลูกและจัดหาวัตถุดิบเพื่อการดำรงอยู่อย่างมั่นคง แต่ก็ยังเต็มไปด้วยสีสันและความเคลื่อนไหวของโลก

คุณฌอน ตั้งใจไว้ว่าภายใน 5 ปี จะทำธุรกิจ 5 โปรเจกต์ในเมืองไทย หรือ 1 ปี สำหรับ 1 โปรเจกต์ โดยเริ่มต้นจาก La Braci  ในย่านเพลินจิต บนทำเลที่เรียกได้ว่าเก๋ไม่ซ้ำใคร

[gallery columns="2" size="full" ids="34295,34296"]
ถ้ำแห่งความสมบูรณ์แบบ

เมื่อเข้ามายังตัวร้าน La Braci เราจะได้พบกับบรรยากาศที่ดูดี มีสไตล์ ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ ฝั่งหนึ่งของร้านซึ่งเป็นกระจกใส ปล่อยให้เราได้ทอดสายตาไปกับความเขียวขจีของร่มไม้ ท่ามกลางตึกสูงที่รายล้อม หากอยากออกไปเดินเล่นในสวนหย่อมของอาคารก็ทำได้

ภายในตัวร้าน จะมองเห็นเคาน์เตอร์ยาวแบบเปิดโล่ง ชวนให้ทุกคนติดตามการทำงานของเหล่าเชฟได้อย่างเพลิดเพลิน ด้านในสุดจำลองพื้นผิวแบบผนังถ้ำ สอดรับกับการออกแบบตัวร้านที่แทรกตัวอยู่ในอาคารขนาดใหญ่ หากมองจากด้านนอกเข้าไป จะเห็นความเป็นมุมลับดังถ้ำน้อย ๆ ที่เก็บซ่อนเรื่องราวที่น่าค้นหาอยู่ในนั้น

หัวใจของร้านอยู่ตรงเตาฟืนที่พร้อมเปล่งประกายไฟลุกโชน เป็นศิลปะการทำอาหารที่ไม่ใช่แค่ปิ้งย่างอย่างที่เข้าใจ แต่มันคือการควบคุมพลังของไฟไปกับวัตถุดิบชั้นเลิศและส่วนผสมต่าง ๆ ด้วยเทคนิคการใช้ไฟจากฟืนไม้สนทะเลคุณภาพ อันเป็นทักษะที่ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งนี่คือช่วงเวลาที่จะชวนให้เราได้ติดตามชมและสนุกไปกับมัน

[caption id="attachment_34297" align="aligncenter" width="900"] Sean Lai เจ้าของร้าน La Braci และ วชิรวิทย์ ธนันต์รัตน์ (เชฟแบงค์) กรรมการบริษัทและผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ[/caption]

ด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด คุณฌอนและเชฟแบงค์ ร่วมกันแชร์ไอเดียในการออกแบบร้าน โดยได้ทำการคัดเลือกไม้สักแท้จาก จ.แพร่ มาเป็นเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งคอลเล็กชันอุปกรณ์จานชาม ที่สะท้อนอารมณ์ความเป็นธรรมชาติ

"ด้วยการตกแต่งร้านที่ผสมผสานระหว่างความโมเดิร์นและธรรมชาติอย่างกลมกลืนในคอนเซปต์ของถ้ำหินและเน้นเฟอร์นิเจอร์เป็นโทนสีของไม้ ทำให้รู้สึกถึงความหรูหราและในขณะเดียวกันก็รู้สึกผ่อนคลาย ที่ร้านสามารถรับรองลูกค้าได้ถึง 50 ที่นั่ง เหมาะสำหรับทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นมื้อพิเศษสำหรับครอบครัว การพบปะเพื่อนฝูง หรือดินเนอร์สุดโรแมนติก

La Braci ให้ความสำคัญกับการสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองผ่านการออกแบบครัวระบบเปิดที่เชฟและทีมงานสามารถเชื่อมต่อกับแขกได้โดยตรง แขกทุกท่านสามารถมองเห็นเรื่องราวกระบวนการสร้างสรรค์เมนูของแต่ละจาน พร้อมทั้งสัมผัสกลิ่นหอมอันยั่วใจจากเตารมควัน ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับอาหารแต่ละเมนู" Sean Lai กล่าว

ศิลปะแห่งฟืนไฟเพื่อช่วงเวลาที่เป็นมิตร

การคัดเลือกวัตถุดิบชั้นเยี่ยมเป็นลักษณะสำคัญของอาหารประเภท Fine Dining ที่ต้องอาศัยความพิถีพิถันตั้งแต่ต้นทาง เมื่อหลอมรวมกับองค์ประกอบที่เพียบพร้อม ทักษะและความชำนาญของเชฟ รวมทั้งบรรยากาศที่ช่วยยกระดับความผ่อนคลาย จนถึงนาทีที่ยกเสิร์ฟแล้วเริ่มชิม จะรับรู้ถึงความใส่ใจในรายละเอียดที่ว่ามาทั้งหมด

Sean Lai  ผู้ก่อตั้งร้าน La Braci อธิบายให้ฟังว่า คำว่า La Braci เป็นภาษาอิตาเลียน ที่สื่อถึงความหมายของการใช้ไฟที่คุกรุ่นในการปรุงอาหารด้วยทักษะความชำนาญ โดยในร้านจะมีครัวเปิดและมีการใช้ฟืนในการทำอาหารจริง ๆ

ภายในเตาไฟที่เตรียมพร้อมอยู่เสมอ มันคือถ่าน "บินโจตัน" (Bincho-tan) ซึ่งเป็นถ่านคุณภาพสูง ผ่านกรรมวิธีการผลิตที่พิถีพิถัน จากไม้โอ๊กคุณภาพดี เผาด้วยเตาพิเศษนานหลายสัปดาห์ เพื่อให้ได้ถ่านที่มีความบริสุทธิ์สูง แทบปราศจากสารก่อมะเร็ง

ด้วยคุณสมบัติความร้อนที่สม่ำเสมอ ควันน้อย และไร้กลิ่น ทำให้เนื้อสัตว์ที่ย่างด้วยถ่านบินโจตัน คงความชุ่มฉ่ำ หอมกรุ่น และรสชาติแท้จริงของวัตถุดิบ ไม่มีกลิ่นควันมาบดบัง ที่พร้อมให้ทุกท่านได้สัมผัส

Casual Fine Dining เรียบหรูแต่เรียบง่าย

โดยรวมแล้วนี่คือร้านในสไตล์ Casual Fine Dining ภายใต้บรรยากาศที่เรียบหรูแต่ยังดูเรียบง่าย เป็นกันเอง ทางร้านตั้งใจนำเสนอช่วงเวลาพิเศษที่มีได้ทุกวัน โดยไม่จำเป็นต้องรอวันหรือโอกาสพิเศษเท่านั้น แต่นี่คือช่วงเวลาแห่งความผ่อนคลายที่เลิกงานแล้วก็แวะเวียนเข้ามาได้

“ปรัชญาการทำอาหารของเรา เกิดจากความเคารพอย่างลึกซึ้งต่อทั้งประเพณีและนวัตกรรม เราตั้งใจรังสรรค์ประสบการณ์การรับประทานอาหารสไตล์ไฟน์ ไดนิง แบบสบายๆ แต่ทันสมัย เชิดชูเสน่ห์ดั้งเดิมของการปรุงอาหารด้วยไฟที่จุดจากไม้ที่ผสานกับเทคนิคสมัยใหม่ เป้าหมายของเราคือการส่งเสริมให้รสชาติตามธรรมชาติของวัตถุดิบที่เราคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันได้เปล่งประกายอย่างเต็มภาคภูมิด้วยวิถีแห่งความซับซ้อนและละเอียดอ่อนที่ได้จากไฟและควัน แต่ละจานเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อรังสรรค์ประสบการณ์ที่น่าจะจดจำ”

[gallery columns="2" size="full" ids="34294,34320"]

เอกลักษณ์อีกประการที่สำคัญของ La Braci คือแนวคิดอาหารจานแชร์  “เราเชื่อว่าอาหารจะอร่อยมากขึ้นเมื่อทานด้วยกัน เราจึงออกแบบเมนูเพื่อส่งเสริมประสบการณ์การมีส่วนร่วมนี้ให้แขกของเราได้ลิ้มลองรสชาติและเนื้อสัมผัสที่หลากหลายด้วยกัน นอกจากจะช่วยยกระดับความสุขในการรับประทานอาหารแล้ว ยังช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง สะท้อนถึงหัวใจของความเป็นอยู่แบบไทยที่มักกินข้าวด้วยกัน” Sean Lai กล่าว


คนเราหาความสุขกับการกินมานานแล้ว การกินในที่นี้ไม่ได้หมายเพียงอิ่มท้อง แต่รสสัมผัสทุกด้านจะต้องประสานไปด้วยกัน ไม่เช่นนั้นคงจะไม่เกิดการรังสรรค์มากมายถึงเพียงนี้ ไปเที่ยวจันทบุรีรอบล่าสุด ได้รับรู้ว่าคนเมืองจันท์ยังมีแง่มุมน่าสนใจในเรื่องอาหารการกินอยู่อีกไม่น้อย โดยทริปนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พาไปเยือนเมืองจันท์ ภายใต้แคมเปญ “สุขท้าลอง 12 สไตล์” สร้างจุดขายมุมมองใหม่ 72 เส้นทาง 72 สไตล์จากแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย ด้วยการจัดทำ E-book ท้าให้คนไทยออกเดินทางท่องเที่ยวผ่านแนวคิด 5 Must Do in Thailand  โดย Must Taste อิ่มอร่อยอาหารจานเด็ดเป็นหนึ่งในนั้น ก่อนที่ออกเดินทางสู่ความสนุกบนเส้นทางการกิน ขอแนะนำเมนูเมืองจันท์รสชาติดีที่เราได้ลิ้มลองกันที่ “มณีจันท์รีอสอร์ท” ที่พักของเราในทริปนี้ ต้องบอกว่าเต็มใจนำเสนอ เพราะโรงแรมนี้เขาทำอาหารได้ถึงรสถึงชาติ ถูกปากถูกใจไปตาม ๆ กัน ก๋วยเตี๋ยวหมูเลียง จานเด็ดที่เจาะจงว่าต้องมากินที่เมืองจันท์เท่านั้น จึงจะเข้าถึงรสชาติต้นฉบับ เมนูนี้มีความพิเศษจากรสหวานกลมกล่อม และกลิ่นหอมของ

เพราะความเรียบง่ายนำมาซึ่งความผ่อนคลาย ขอแค่มองไปทางไหนก็โล่งโปร่งสบายตา  รีสอร์ตสไตล์โมเดิร์นที่สะท้อนความเรียบหรูดูเก๋ไก๋จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ได้พักสายตาทอดยาวลงไปในท้องทะเลกว้าง ๆ แหวกว่ายอยู่ในสระน้ำแบบพาโนรามา นั่งจิบเครื่องดื่มเบา ๆ ในบาร์เล็ก ๆ ริมหาด หรือจะเอนกายในมุมส่วนตัวบนห้องพัก ถือเป็นการพักผ่อนที่ไม่ต้องการความซับซ้อนใด ๆ เลย เมื่อวันที่ 27-28 กันยายน ที่ผ่านมา Meetthinks  มีโอกาสเดินทางไปงาน Grand Opening ที่พักริมทะเลหัวหิน-ชะอำ เป็นอีกการสยายปีกของเครือโรงแรม The Palayana Hua Hin และ The Yana Villas โดย Aviyana Hua Hin [gallery columns="2" size="full" ids="33927,33926"] Aviyana Hua Hin

อีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญของกาญจนบุรี อยู่ที่ อ.บ่อพลอย ดินแดนแห่งอัญมณีอันงดงาม ทั้งนิลและพลอยสีน้ำเงิน  และวันนี้ อ.บ่อพลอย ยังมีความโดดเด่นอีกมากมาย เกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใคร และนี่คือ 3 จุดท่องเที่ยวใน อ.บ่อพลอย ที่บอกเลยว่า ห้ามพลาด! มหัศจรรย์ตะเคียนนครา แหล่งรวบรวมท่อนไม้ตะเคียนราวพันท่อนที่มีอายุนับร้อยปี ตั้งอยู่ด้านหน้าสนามบลูแซฟไฟร์กอล์ฟ แอนด์ รีสอร์ท ม.13 ต.ช่องด่าน อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เป็นแหล่งที่พบตะเคียนทองมากที่สุดในโลก ที่น่าทึ่งสุด ๆ เพราะท่อนไม้เหล่านี้ เคยฝังอยู่ใต้ดินลึกกว่า 18 เมตร นานหลายพันปี ย้อนไปราว 40-50 ปีที่แล้ว พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นบ่อพลอย ในช่วงที่มีการขุดบ่อหาพลอย เมื่อขุดลึกลงไปเรื่อย ๆ จึงพบกับต้นตะเคียนที่ฝังอยู่ใต้ดิน เจ้าของที่จึงได้ทำการขุดค้นและสะสมเรื่อยมา ความมหัศจรรย์เท่านั้นยังไม่พอ เพราะนอกจากท่อนไม้ตะเคียนแล้ว ยังมีซากเรือโบราณอีก

การได้อยู่เงียบ ๆ นิ่ง ๆ มันดีจริง ๆ นะ ยิ่งเวลาที่ได้เห็น ได้ยิน ตัวจริง เสียงจริงของโลกใบนี้   หน้าฝนนี้ถ้าอยากไปซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขา  ก็อยากจะแชร์ว่า “มันดีจริง” ยิ่งเดินทางไปในวันธรรมดาที่มีผู้คนบางตา ปล่อยหน้าที่ให้หมอกหนา ๆ เริงร่าเต้นระบำให้เต็มที่ไปเลย เราเดินทางไปจังหวัดกาญจนบุรี กับเส้นทาง Mega Fam Trip ภาคกลาง โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกาญจนบุรี   ออกจากกรุงเทพแต่เช้า มุ่งหน้าสู่เมืองกาญจน์ ใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ M81 ที่ยังทดลองเปิดให้บริการ ประหยัดเวลาไปได้มาก [gallery columns="2" size="full" ids="33722,33725,33726,33724"] มาถึง อ.ทองผาภูมิ ในตอนเที่ยง แวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่ “ร้านเพาะรัก” ร้านสวยในป่าครึ้มริมลำธาร

สนุกกับบุฟเฟต์ธีมไนท์ประจำสัปดาห์ที่ห้องอาหาร เรน ทรี คาเฟ่ 3 ธีม 3 สไตล์: เม็กซิกันรัมบา ซีฟู้ดจากแหล่งที่ดีที่สุดในประเทศไทย และ สโมค แอนด์ ซิสเซิล บาร์บีคิว! ละลานตาด้วยอาหาร เครื่องดื่มม็อกเทล และสีสันแห่งบุฟเฟต์ที่โรงแรม โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล พบกับความสนุก 3 ธีม 3 สไตล์ ในทุกสัปดาห์ ที่จะมาเติมสีสันให้กับมื้อค่ำที่เรน ทรี คาเฟ่ ตั้งแต่เม็กซิกันรัมบา อาหารทะเลสด ๆ ของไทย ไปจนถึงบาร์บีคิวปิ้งย่างอันน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งหมดนี้มาพร้อมม็อกเทลเสิร์ฟไม่อั้นและประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย ธีมไนท์แบบเม็กซิกันรัมบา เริ่มตั้งแต่วันอังคารที่

สระแก้วเป็นเมืองน่าเที่ยว มีโอกาสได้มาเยือนหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็มีเรื่องราวแตกต่างกันไป แสดงให้เห็นถึงต้นทุนที่หลากหลาย ตั้งแต่ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์​ ศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิต มาสระแก้วหลายครั้ง แต่ก็ยังเที่ยวไม่หมด ล่าสุด ททท.สำนักงานนครนายก (นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว) นำผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว เดินทางไปทดสอบสินค้าและบริการท่องเที่ยว จ.สระแก้ว เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน หลายจุดก็เป็นแหล่งใหม่ที่ไม่เคยไปมาก่อน อีกหลายจุดก็เป็นไฮไลต์ที่มาเมื่อไหร่ก็พลาดไม่ได้ จึงนำมาส่งต่อเป็นแรงบันดาลใจโดยเส้นทางนี้สามารถนำไปจัดทริปตามรอยกันได้เลย   Day1 อ.เขาฉกรรจ์-อ.เมือง ชุมชนบ้านหนองโกวิทย์ ความโดดเด่นของชุมชนบ้านหนองโกวิทย์ คือความเข้มแข็งของชุมชน มีชื่อเสียงด้านการทอผ้าด้วยกี่โบราณ โดดเด่นด้วยผ้าขาวม้าซาวตม (ผ้าขาวม้าย้อมโคลน) นอกจากนั้นยังมีการทำของใช้จากเศษพลาสติก อาทิ โมบาย ไม้กวาด ฯลฯ มาคราวนี้ได้เจอกิจกรรมใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ นั่นคือการทำผ้าพิมพ์ลายใบไม้  Eco Printing 

เหรียญมีสองด้าน ใบไม้ก็เช่นกัน หลายคนคงเคยสังเกตว่า ด้านหน้าที่เราเห็นความมันวาว แต่เส้นใบไม่ชัดเจนเท่าด้านหลัง หากนำมาพิมพ์ลงบนผืนผ้า จึงต้องเลือกว่า อยากได้เพียงขอบใบ หรือเส้นลวดลายของมัน เอาเข้าจริงเมื่อต้องลงมือทำ เหล่าผู้รับบทอาร์ตติสสมัครเล่นก็เพลินจนลืมไปว่า ไหนด้านหน้าด้านหลัง เหมือนไม่เคยฟังครูบอก เทคนิคการพิมพ์ลายผ้าด้วยใบไม้ หรือผ้าย้อมสีธรรมชาติ  ตามรูปแบบ Eco Printing โดยนำวัสดุธรรมชาติมาให้สีและลวดลาย อาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วย แต่จะออกมาสวยแค่ไหน ต้องพึ่งพาแรงกายแรงใจแบบร่วมด้วยช่วยกัน โดยเฉพาะผ้าผืนใหญ่ ๆ ที่ต้องออกแรงกันหนักหน่อย อะไรกัน แค่พิมพ์ลายผ้า จะหนักหนาสาหัสแค่ไหนเชียว! เราเดินทางมาที่ชุมชนบ้านหนองโกวิทย์  หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่น่าสนใจ ในจังหวัดสระแก้ว นำโดย ททท.สำนักงานนครนายก (นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว)  ชวนมาเปิดมุมมองใหม่ ๆ รวมทั้งเผยโฉมไฮไลต์ที่ยังครองใจ เติมเต็มแรงบันดาลใจให้กับเมืองน่าเที่ยวแห่งนี้ ช่วงสายของวัน เราไปถึงชุมชนบ้านหนองโกวิทย์ หมู่บ้านแห่งนี้มีชื่อเสียงด้านการทอผ้าด้วยกี่โบราณ ชาวบ้านส่วนใหญ่อพยพมาจากทางอีสาน

คำว่า “ใจฟู” สะท้อนให้เห็นภาพความชื่นบานของหัวใจ เหมือนดอกไม้ที่ชูช่อรอรับสายฝนและแสงแดด อาการใจฟูเกิดขึ้นได้เมื่อพบเจอความรู้สึกดี ๆ เป็นพลังงานบางอย่างที่คอยกระตุ้นเรี่ยวแรงทางอารมณ์

อยากใจฟูให้ออกเดินทาง ไปค้นหาภาพความประทับใจในแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย ล่าสุดเราไปชะอำ ไปเติมความชุ่มฉ่ำให้หัวใจ เจอทะเลสดใส กับผู้คนที่เต็มไปด้วยความสุขในวันหยุดพักผ่อน จากนั้นก็เดินทางไปเที่ยวต่อในแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ รวมทั้งสถานที่ที่ยังไม่เคยไปมาก่อน (ทั้ง ๆ ที่อาจจะมีอยู่นานแล้ว)

[gallery columns="2" size="full" ids="33411,33410"] [caption id="attachment_33409" align="aligncenter" width="800"] นิติ วงษ์วิชาสวัสดิ์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเพชรบุรี[/caption]

ไม่ใช่ทะเล ไม่ใช่ภูเขา แต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเราและหลาย ๆ คนหลงรัก ด้วยความเรียบง่าย สบาย ๆ สไตล์สมุทรสงคราม “อัมพวา” จึงเป็นเป้าหมายในความคิดถึงอยู่เสมอ ขับรถไม่ไกล ไปแล้วมีที่เที่ยวที่กินเยอะมาก แต่ก็ได้บรรยากาศของการผ่อนคลาย ด้วยความร่มเย็นของสายน้ำและวิถีชีวิตของผู้คน วันหยุดที่ผ่านมา เราได้เดินทางไปอัมพวา แน่นอนว่า “ตลาดน้ำอัมพวา” คือเป้าหมาย แต่ก็มีสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ก่อนจะเข้าไปเดินตลาดกันในช่วงเย็น ๆ ส้มโอขาวใหญ่ GI ไม่จกตา อยากกินส้มโออร่อย ของดีที่แท้ทรู พร้อมกับการเรียนรู้สนุก ๆ ก็ต้องไปกันถึงสวน ทริปนี้เรามุ่งหน้าไปที่ “สวนพลอยสุภา” ต.บางสะแก อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ส้มโอเป็นผลไม้ที่มีให้กินทั้งปี มีให้เลือกหลายพันธุ์ หลายพื้นที่ เช่นเดียวกับที่นี่ ซึ่งมีส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่ ที่ได้รับรองเป็นสินค้า GI หรือ  สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์

สายฝนที่พร่างพรม กับสายลมที่โชยมา บอกให้เรารู้ว่า นี่คือช่วงเวลาแห่งความชุ่มชื่นเย็นใจ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนมาไหน ก็จะพบกับต้นไม้ใบหญ้าเปล่งความเขียวขจี มองแล้วสบายตา สบายใจ ช่วยเยียวยาความอ่อนล้าได้เป็นอย่างดี มาตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ ด้วยความคิดถึงธรรมชาติ คิดถึงมุมดี ๆ  คิดถึงวิถีอันเป็นเอกลักษณ์อีกมากมายของสองจังหวัดที่เชื่อมโยงการเดินทางได้แบบไม่สะดุด วันนี้เราเดินทางมากับทริป เมืองรอง ต้อง  “ออก”  เที่ยว เส้นทางกทม. - นครนายก-ปราจีนบุรี ซึ่งจัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน 1.ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 1 จ.นครนายก ไปล้างกรงเสือกันไหม หรือจะล้างกรงหมี ประสบการณ์ดี ๆ ที่หาได้ยาก ณ ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 1 จ.นครนายก  ซึ่งเป็นศูนย์ดูแลสัตว์ป่าทั้งที่ป่วย บาดเจ็บ

ฤดูที่แตกต่างนำพาให้เราได้มาพบกับความเปลี่ยนแปลง เพราะดอกไม้ในโลกใบนี้ ไม่ได้พร้อมใจกันอวดโฉม แต่จะเฝ้าคอยเวลาที่เหมาะสมของตัวเอง เกิดเป็นสีสันแห่งฤดูกาล รอให้เหล่านักเดินทางได้ตามหา หน้าฝนปีนี้อาจจะแปลกไปสักหน่อย ด้วยสภาพอากาศที่ผันผวนทำให้ฝนมาช้า และมาในปริมาณที่ไม่มากนัก ทำให้เจ้าหญิงแห่งฤดูกาลอย่าง “ดอกกระเจียว”​ ยังซ่อนตัวอยู่นาน เปิดเทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวบาน เมื่อวันที่  13 มิถุนายน 2567 มีการแถลงข่าว “งานเทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวบาน จังหวัดชัยภูมิ ประจำปี 2567”  ตอกย้ำภาพลักษณ์ ชัยภูมิ เมืองน่าเที่ยว