Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam erat volutpat. Ut wisi enim

Subscribe to our newsletter

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam
[contact-form-7 id="9582" html_class="default"]

มาหานคร เขา ว่า เล?

เขา ป่า นา เล +พรุ คือสิ่งที่สะท้อนความครบเครื่องของเมืองนครศรีธรรมราช  

เมืองสองธรรม ก็เป็นชื่อที่สะท้อนความถึง ธรรมะ และ ธรรมชาติ ที่มีอยู่ในเมืองนคร

ที่สุดของเมืองนครยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่น่าค้นหา

อย่างการได้รับกล่าวขานว่า เป็นแหล่งโอโซนของเมืองไทย ณ บ้านคีรีวง

รวมไปถึง การมีสถานีรถไฟที่มากที่สุด ถึง 32 สถานี 

มีผลไม้ที่ชื่อ “ลูกประ” ที่อุดมด้วยคุณค่าทางอาหาร หอมอร่อยเทียบชั้นอัลมอนด์

….

หากหยิบมาแค่เรื่องของทะเล นครศรีธรรมราช ก็มีเสน่ห์ไม่แพ้ที่ไหน

เรามุ่งหน้าจากกรุงเทพสู่เมืองนครโดยเครื่องบิน ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงก็มาถึง สภาพอากาศร้อนสลับฝน เป็นธรรมดาของทางใต้ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคใดๆ สำหรับทริปนี้

คุณสุชาติ ชายมัน นำทริป “กรุงเทพ-มาหา-นคร” ที่มีทั้ง เขา และ เล มาให้ชม

หากจะเที่ยวทะเลเมืองคอน ก็ต้องมุ่งไปที่ อ.ขนอม ซึ่งถือเป็นอำเภอที่เล็กที่สุดของนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของจังหวัด รอยต่อกับสุราษฎร์ธานี ดังนั้นจึงเชื่อมั่นได้ถึงความสดใสของทะเลอ่าวไทย ที่โดดเด่นเรื่องสีสันของน้ำที่ออกแนวฟ้าหวานๆ ชวนฝัน

อ.ขนอม อยู่ห่างจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช ประมาณ 100 กิโลเมตร ดินแดนแห่งนี้เคยเป็นเมืองท่าเทียบเรือมาแต่โบราณ มีอายุกว่า 800 ปี ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอู่ทองแห่งกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เดิมมีชื่อเรียกว่า “เมืองตระนอม” ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ในละแวกใกล้เคียง

นอกจากความชิลล์ริมชายหาดสวยๆ ที่มีให้เลือกหลายอ่าว ที่ขนอมยังมีประสบการณ์หนึ่งเดียวที่ไม่สามารถหาชมได้ที่ไหน

ม่านบนเวทีที่ค่อยๆ เปิดขึ้นพร้อมแสงไฟ บนสะพานไม้ทอดยาวบริเวณท่าเรือบริเวณอ่าวเตล็ด เรามองเห็นเกาะน้อยใหญ่อยู่ไม่ไกล พร้อมช่องระหว่างภูเขา ที่มองเห็นไปถึงเรือเฟอรี่ที่ใช้ข้ามยังดอนสัก ไปเกาะสมุย

เรือหางยาวนำเราออกสู่ทะเลกว้าง  สีสันลำน้อยๆ แหวกว่ายอยู่ในแก้วน้ำหวานใบมหึมา ยิ่งออกไปไกลเท่าไหร่ สีของน้ำก็ยิ่งสดขึ้น

แต่การนั่งเรือเที่ยวบริเวณอ่าวเตล็ด มีความได้เปรียบกว่าการมาจากท่าเรืออื่น เพราะอยู่ใกล้กับจุดท่องเที่ยวหลักๆ ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียวก็เที่ยวชมได้ทั่ว

ดาวเด่นของการท่องเที่ยวขนอมก็คือ การชม  “โลมาสีชมพู”  ซึ่งพบเห็นได้บริเวณอ่าวเตล็ด เนื่องจากเป็นอ่าวที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรทางทะเล มีหญ้าทะเล 5 สายพันธุ์ และปลาหลากหลายสายพันธุ์ซึ่งเป็นกลุ่มอาหารของโลมา จึงถือเป็นแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องย้ายถิ่น ได้ทราบว่าชาวบ้านได้ร่วมมือกันปลูกหญ้าทะเลกว่า 100 ไร่ ยิ่งรู้สึกได้ถึงความผูกพันของคนกับทะเล

เป็นการปรากฎตัวแบบไกลๆ และไม่ทันตั้งตัว จึงได้มาเพียงเท่านี้จริงๆ

ชาวบ้านบอกว่า จากสถิติส่วนใหญ่โลมาจะออกมาว่ายน้ำให้เห็นในช่วงเช้า หรือไม่เกิน 9.00 น. หลังจากนั้นก็ไม่แน่ไม่นอน เช่นวันนี้ ซึ่งสายมากแล้ว จึงได้แค่มองเห็นการปรากฏตัวแบบไม่ทันตั้งตัวเพียงสองสามจุด จึงไม่ได้ภาพงามๆ กลับมา แต่ในความรู้สึกของทุกคนต่างเห็นสอดคล้องกันว่า แค่ได้เจอเพียงแป๊บเดียวก็ชื่นใจ  เพราะทราบว่าบางคนแม้จะเคยมาหลายครั้งแล้ว ก็ไม่มีโอกาสได้ยลโฉม

เมื่อโลมาไม่ใช่ลูกจ้างที่ตอกบัตรเข้างานทุกวัน ความผิดหวังจึงยังเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ก็ใช่ว่านายท้ายจะหันหน้ากลับฝั่ง เพราะยังมีพลังที่ซ่อนเร้นให้เราไปค้นหา

หลายคนคงเคยได้ยินชื่อของ “หลวงปู่ทวด” ซึ่งมักจะมีสร้อยต่อท้ายว่า “เหยียบน้ำทะเลจืด”  แต่ยังไม่รู้ว่า เรื่องที่เล่าขานกันมานั้น เกิดขึ้นที่ไหน หากมาถึงขนอมแล้วตรงมาท่าเรืออ่าวเตล็ด ออกไปชมโลมากันเสร็จก็วกมาที่เกาะนุ้ยได้เลย

เกาะนุ้ยเป็นเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ แต่เป็นจุดของความอัศจรรย์ใจของ “บ่อน้ำจืดกลางทะเล” เชื่อกันว่าเป็นตำนานของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด หนึ่งใน Unseen ของเมืองไทย เนื่องจากบนเกาะนี้มีบ่อน้ำจืดที่มีรูปร่างคล้ายกับรอยเท้า สามารถมองเห็นได้ในตอนที่น้ำทะเลลดลง หากเป็นช่วงที่น้ำขึ้นจะถูกน้ำทะเลท่วม

มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า  เมื่อครั้งที่หลวงปู่ทวดได้เดินทางด้วยเรือจากสงขลาไปยังกรุงศรีอยุธยา ระหว่างทางเกิดพายุและทำให้เรือขาดแคลนน้ำจืด หลวงพ่อทวดจึงแสดงปาฏิหาริย์ด้วยการเหยียบน้ำกลางทะเล จนกลายเป็นแอ่งน้ำจืดกลางทะเลให้ลูกเรือได้ดื่มกิน

ขณะที่หลักการทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า บ่อน้ำจืดกลางทะเลแห่งนี้ เป็นช่องเปิดที่เชื่อมต่อกับรอยแตกของชั้นหินใต้ผิวโลก ที่ทะลุถึงสายน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล และเมื่อน้ำทะเลลดต่ำลง น้ำจืดด้านล่างก็สามารถดันน้ำเค็มออกไปได้หมด

เราเข้ามายังเกาะนุ้ยในเวลาใกล้เที่ยง น้ำทะเลที่ขึ้นสูงทำให้ไม่สามารถมองเห็นจุดของบ่อน้ำจืดได้อย่างถนัด แต่ก็สร้างความประทับใจได้ไม่มีวันลืม เพราะนี่คือบ่อน้ำจืดกลางทะเลกว้าง ซึ่งสมัยก่อน ชาวบ้านจะต้องออกเรือมาตักน้ำไปใช้ จึงถือเป็นความอัศจรรย์ที่มาพร้อมประโยชน์อย่างมหาศาล

ไม่ไกลจากกันมาก เป็นที่ตั้งของแกลอรี่กลางทะเลที่ธรรมชาติสร้างไว้ จากแนวผาหินสีโทนดุ เรียงร้อยเป็นผลงานศิลปะที่มิอาจประเมินค่า เรียกกันว่า “เขาหินพับผ้า” ด้วยลักษณะที่คล้ายแผ่นหินเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ซึ่งมาจากการทับถมของตะกอนหินใต้ท้องทะเลมานานกว่า 280 ล้านปี บางจุดสามารถเดินขึ้นไปชมได้ เช่น “เวทีพุ่มพวง” บริเวณชั้นหินที่มีลานกว้างคล้ายเวที ปรากฎให้เห็นในช่วงน้ำลด เป็นบริเวณที่ชาวประมงมักแวะพักหลบคลื่นลม แวะรับประทานอาหาร หรือ พักผ่อนยามออกเรือ

ด้วยลักษณะคล้ายกับผ้าที่พับซ้อนๆ กัน ชาวบ้านจึงเรียกว่า “เขาหินพับผ้า” ส่วนชาวต่างประเทศมักเรียกว่า “แพนเค้กร็อค” (Pancake Rock) เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับ Pancake Rock สถานที่ท่องเที่ยวของหมู่บ้าน Punakaiki บริเวณเกาะใต้ฝั่งตะวันตกของประเทศนิวซีแลนด์

ใช้คำว่า “ปลื้มปริ่ม” กันไปตามๆ กัน เพราะการท่องเที่ยวชุมชนแห่งนี้ มาพร้อมแนวทางการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทำให้ภาพความงดงามของอ่าวเตล็ด ยังคงชัดเจน ไม่มีเปลี่ยนแปลง ชาวประมงยังคงออกเรือหาปลา มองไปแล้วงดงามราวภาพเขียน ด้วยสีสันของท้องทะเลและท้องฟ้าที่จงใจแกล้งให้เราหลงใหลจนลืมมื้อเที่ยงไปเลย

จากอ่าวเตล็ด มุ่งหน้าสู่อ่าวแขวงเภา อีกหนึ่งบรรยากาศการพักผ่อนริมชายหาดขนอม ที่เห็นแล้วต้องยอมเทให้หมดใจ ฟ้าและทะเลตั้งขบวนรออย่างตั้งใจ แค่ยืนนิ่งๆ ก็ได้ ไม่ต้องการอะไรอีกเลย

ทะเลเรียบถึงมีคลื่นเล็กน้อย จะว่าไปถ้ามีเพื่อนซี้อีกสักหน่อยก็คงดี

บริเวณร้านอาหารกลางอ่าวซีฟู้ด เป็นทั้งที่พัก ที่กิน ที่ชมวิวทะเลขนอมได้อย่างเต็มตา และไม่ผิดหวังกับคำว่า “อาหารใต้-ซีฟู้ด” สำหรับร้านที่มีทั้งบรรยากาศและรสชาติความอร่อย

ออกจากขนอมเรามีเป้าหมายมุ่งหน้าสู่ อ.สิชล อีกเมืองทะเลของเมืองคอน โดยจะเข้าไปขอพรที่วัดเจดีย์ ซึ่งมีตำนานของ “ไอ้ไข่” อันเป็นที่ศรัทธาของคนในพื้นที่ รวมทั้งใครต่อใครอีกมากมาย ทั้งคนไทยและต่างชาติ ด้วยพลังของความเชื่อและการขอพร จนทำให้ลานจุดประทัดกองโตเป็นภูเขา และไม่มีสักวันที่จะไร้เสียง

เรื่องราวของ “ไอ้ไข่วัดเจดีย์” นั้นมีมานานแล้ว แต่เมื่อพลังของการขอพรเป็นที่กระฉ่อน ทำให้ในช่วง 2-3 ปีนี้ มีผู้เข้ามากราบไหว้กันอย่างไม่ขาดสาย จนทำให้คึกคักแทบทุกวัน บรรดาคนในชุมชนต่างได้พลอยผลบุญไปด้วย ร้านขายของที่เกี่ยวกับการกราบไหว้และแก้บนเรียงรายเป็นตับ ด้วยสโลแกนว่า “ขอได้ ไหว้รับ” เมื่อขอพรแล้วสมดังใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการงาน ก็จะมาแก้บนด้วยการถวายเครื่องบูชา เช่น น้ำ น้ำอัดลม ของเล่น ชุดเด็ก รวมทั้งการจุดประทัด ซึ่งได้ยินมาว่าเคยมีผู้มาแก้บนด้วยประทัด 8 ล้านนัด เนื่องจากประสบความสำเร็จทางธุรกิจระดับร้อยล้านเลยทีเดียว

เรื่องเล่ากันมาว่า ในอดีตเมื่อครั้งที่หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ เดินทางกลับจากกรุงศรีอยุธยา ได้มาปักกรดอยู่ใน อ-.สิชล ซึ่งขณะนั้น มีลูกศิษย์ชื่อ “ไอ้ไข่” เป็นวิญญาณเด็กผู้ชายอายุประมาณ 9-10 ขวบติดตามมาด้วย เมื่อได้พบว่าสถานที่แห่งนี้มีทรัพย์สมบัติและศาสนสถานที่มีความสำคัญ หลวงปู่จึงได้ให้ไอ้ไข่ สิงสถิตเฝ้าทรัพย์สมบัติอยู่ตั้งแต่นั้นมา จวบจนปัจจุบัน คือพื้นที่ของ “วัดเจดีย์” ต.ฉลอง อ.สิชล ซึ่งสันนิษฐานว่ามีอายุราวกว่า 1,000 ปี โดยมีการบูรณะใหม่เมื่อปี พ.ศ.2500

การเดินทางระหว่าง อ.สิชล และ อ.ขนอม นอกจากจะใช้เส้นทางหลักแล้ว ยังมีเส้นทางใหม่ แบบยังชุ่มๆ ไม่ทันหมาด เพราะยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างอีกระยะหนึ่ง ชื่อว่า “ถนนพลายจำเริญ” เชื่อมต่อระหว่าง อ่าวท้องหยี อ.ขนอม และ บ้านเขาพลายดำ อ. สิชลตอนนี้สามารถขับเข้าไปเซอร์เวย์ได้ แต่ก็ยังไม่เรียบร้อยดีนัก ขณะที่ความงดงามของธรรมชาติ ไม่ต้องรอแต่งเติมอันใด และพร้อมแล้วที่จะอวดโฉมแบบไม่มีวันพัก กับจุดชมวิว ที่มีให้แวะหลายจุด

เช่นที่ “เนินเทวดา” จุดชมวิวมุมสูงที่สามารถมองเห็นหาดในเพลา ได้อย่างเต็มตา หากเดินต่อขึ้นไปอีกนิดจะเป็น “เนินนางฟ้า” ที่มองเห็นความงามได้อีกฝั่ง สวยจนไม่สามารถเก็บความรู้สึกมาใส่ไว้ในภาพได้หมด จุดนี้มีค่าเข้าชมคนละ 20 บาท ถือว่าคุ้มค่าเพราะมีการจัดสถานที่ไว้อย่างเรียบร้อย มีร้านกาแฟ และ ห้องน้ำให้บริการ

นอกจากนั้นยังมีจุดชมวิวบริเวณอนุสรณ์สถานพลายจำเริญ “พลายจำเริญ” (คชานุสรณ์) ช้างแสนรู้คู่บ้านคู่เมืองนครศรีธรรมราช ช้างคู่บารมีของเจ้าพระยานครฯ ที่เกิดและมีชีวิตอยู่ในเมืองนครศรีธรรมราช ช่วงรัชกาลที่ 3 จนถึงรัชกาลที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

หลงรักทะเลเข้าอย่างเต็มเปา จนไม่อยากกลับไปหาเขาเลย 

สัมผัสแล้ว คำที่ว่า “นครแห่งความสุข” ด้วยแง่มุมของการท่องเที่ยวชายทะเล หรือ ที่คนใต้เรียกสั้นๆ ว่า “เล”

เขา ว่า เล  (ภูเขาหรือว่าทะเล) จึงขอส่งต่อสู่ เล ว่า เขา (ทะเลหรือว่าภูเขา)  อีกฝั่งหนึ่งของเมืองคอน ที่งดงามจนทำให้ใจแทบขาดรอนๆ ไม่แพ้กัน

 

  • “เขาว่าเล” เป็นประโยคคำถามสั้นๆ แบบคำพูดของคนใต้ ที่มาจากคำถามว่า “ชอบภูเขาหรือทะเล”
  • ชวนตั้งคำถามกันต่อ ในตอน มาหานคร เลว่าเขา (ชอบทะเลหรือภูเขา) ที่ https://www.meetthinks.com/maha-nakhon1/)
  • ขอขอบคุณ โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว “กรุงเทพ-มาหา-นคร” จากความตั้งใจของจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มุ่งหวังให้คนเมือง มาเยือนเมืองคอน เพื่อสัมผัสถึงความสุขทั้งกายและใจ จากธรรมะและธรรมชาติ
  • รายละเอียดการติดต่อท่องเที่ยว ชุมชนท่องเที่ยวอ่าวเตล็ด อ.ขนอม  โทร. 09-8468-3842                                                             
Post a comment

5 + seventeen =