
พระนครคีรี เชฟส์เทเบิ้ล ตามรอยพระราชอาคันตุกะ สมัย ร.4
ถ้าเป็นเชิงการท่องเที่ยว เพชรบุรีก็มีครบรสทั้งภูเขา ทะเล ประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม ไปจนถึงความร่วมสมัย
ในด้านรสชาติเพชรบุรียังเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหารของยูเนสโก และได้ชื่อว่า “เพชรบุรีเมือง 3 รส” ทั้งหวาน เค็ม เปรี้ยว จากแหล่งกำเนิดแห่งภูมิปัญญา ไม่ว่าจะเป็นการทำนาเกลือ การทำน้ำตาลโตนด และการปลูกมะนาว
ความโดดเด่นที่ว่านี้ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ผ่านเรื่องราว เรื่องเล่า รวมทั้งประวัติศาสตร์อันยาว และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ความคิดสร้างสรรค์ถูกนำมาต่อยอดเป็นมื้อพิเศษ ในกิจกรรม “กาล่า ดินเนอร์ เชฟส์เทเบิ้ล” ณ พระนครคีรี ในงานเทศกาลพระนครคีรี-เมืองเพชร ครั้งที่ 38 ซึ่งปีนี้มีความคึกคักกว่าทุกปี
เมื่อเร็ว ๆ นี้ จังหวัดเพชรบุรี ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือทีเส็บ จัดกิจกรรม Media Familiarization Trip เส้นทางสายไมซ์สู่เพชรบุรีเมือง 3 รส นำคณะสื่อมวลชนเข้าร่วมสัมผัสเส้นทางตามรอยพระราชอาคันตุกะ สมัยรัชกาลที่ 4 และร่วมกิจกรรม กาล่า ดินเนอร์ เชฟส์เทเบิ้ล ณ พระนครคีรี เพื่อยกระดับประสบการณ์ไมซ์สุดพิเศษ มุ่งสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์งานไปสู่ระดับนานาชาติ
ดร.สุรัชสานุ์ ทองมี ผู้อำนวยการ TCEB ภาคกลาง-ภาคตะวันออก กล่าว่า ทีเส็บ ร่วมสนับสนุนการสร้างประสบการณ์ไมซ์ที่สื่อถึงอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นของจังหวัดเพชรบุรี เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวคุณภาพสูง
ชูศักยภาพความพร้อมจังหวัดเพชรบุรีในการรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจหรือนักเดินทางกลุ่มไมซ์ สอดรับกับนโยบาย Soft Power ของรัฐบาล ในการผลักดันงานเทศกาลไทยสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ไปสู่การยอมรับในเวทีนานาชาติ
โดยดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ ทีเส็บ 3S – Stay Longer, Spend More, See you again กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มมากยิ่งขึ้น จากการเข้าร่วมกิจกรรม สินค้าและบริการไมซ์ไมซ์ภายในจังหวัดเพชรบุรี ที่จะสร้างความประทับใจต่อนักเดินทางกลุ่มไมซ์ให้เกิดการตัดสินใจพำนักอยู่ต่อ และสร้างโอกาสในการกลับมาเยือนประเทศไทยในอนาคต
องก์ที่ 1 จากบางกอกผ่านอัมพวา เทียบท่าบางตะบูน
สีสันของเส้นทางเริ่มต้นตั้งแต่มื้อเช้าที่เสิร์ฟระหว่างการเดินทาง นำเสนอวัตถุดิบจากเพชรบุรี ประกอบด้วย สลัดกุ้งใบชะคราม ครัวซองต์สังขยา แยมโรลใบเตย ชมพู่เพชรสายรุ้งและผลไม้ตามฤดูกาล
ขณะที่เส้นทางย้อนรอยประวัติศาสตร์เริ่มต้นตั้งแต่ “โครงการอัมพวา ชัยพัฒนานุรักษ์” ซึ่งเป็นพื้นที่ประมาณ 26 ไร่ พร้อมบ้านริมคลองอัมพวา ซึ่งชาวบ้านในแถบนั้นน้อมเกล้าถวายให้กับมูลนิธิชัยพัฒนา หากใครเคยไปตลาดน้ำอัมพวา คงจะเคยเห็นร้าน “ชานชาลา” ซึ่งอยู่ในโครงการ สามารถเดินผ่านตัวร้านเข้าไปสู่ภายในโครงการ ซึ่งมีศูนย์เรียนรู้ที่น่าสนใจ พร้อมร้านจำหน่ายสินค้าของทางโครงการ
อัมพวาเป็นอำเภอที่มีพื้นที่มากที่สุดในจังหวัดสมุทรสงคราม สมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อครั้งเป็นหลวงยกกระบัติ มีภรรยาเป็นคนอัมพวา และรัชกาลที่ 2 ก็ประสูติที่อัมพวา และมีภรรยาเป็นคนอัมพวาเช่นกัน
คลองอัมพวา เชื่อมต่อกับคลองประชาชมชื่น ซึ่งขุดในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นคลองที่สามารถเชื่อมต่อคลองบางตะบูน อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี
ในทริปนี้เราได้เดินลัดเลาะเข้าไปในสวนชัยพัฒนานุรักษ์ ชมการทำน้ำตาลมะพร้าว จากนั้นไปร่วมกิจกรรมประกอบขนมจ่ามงกุฎ รับประทานคู่กับเครื่องดื่ม “ม่วงชื่น” ซึ่งเป็นสูตรพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มีส่วนผสมหลักจากตะไคร้ อัญชัน และมะนาว รสหวานอมเปรี้ยว หอมสดชื่น
องก์ที่ 2 เยี่ยมเยือนเมืองพริบพรี … ชิมอาหารพื้นถิ่น แห่งเมืองสามรส
จากอัมพวาเข้าสู่เพชรบุรี แวะรับประทานอาหารกลางวันที่ “ครัวป้าหยัน” ร้านอาหารไทยสไตล์เมืองเพชร ที่ได้ชื่อว่าเป็นร้านรับแขก ด้วยรสชาติของอาหารไทยที่เข้าข้น กลมกล่อม ผสมผสานวัตถุดิบท้องถิ่น เช่น “แกงปูใบชะคราม” ซึ่งเป็นไฮไลต์ที่มาเมื่อไหร่ก็ต้องสั่ง ตามมาด้วย น้ำพริกกุ้งสด ทอดมันปลากราย ต้มส้มปลากะพงทอด ห่อหมกขนมครก ฯลฯ
องก์ที่ 3 เยี่ยมเยือน พระนครคีรี สู่งานเลี้ยงรับรองอาคันตุกะเมืองพริบพรี
หลังจากอาหารเที่ยง คณะได้เข้าเช็คอินที่โรงแรม PBRU Heritage โรงแรมใหม่ในมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นทั้งด้านการออกแบบตกแต่ง และการนำเสนออาหารท้องถิ่น ซึ่งกิจกรรม “เชฟเทเบิ้ล” ในคืนนี้ก็มาจากการรังสรรค์ของอาจารย์และทีมนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีและศิลปการประกอบอาหาร
แต่ก่อนจะเข้าสู่ไฮไลต์ของค่ำคืนนี้ คณะสื่อมวลชนได้ร่วมแต่งชุดไทย เพื่อร่วมกิจกรรมตามรอยพระราชอาคันตุกะในสมัย ร.4 เยี่ยมชมพระนครคีรี (เขาวัง) ซึ่งเป็นพระราชวังฤดูร้อน ที่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ตั้งอยู่บนยอดเขาใหญ่ 3 ยอด จากนั้นได้เดินทางไปชมนิทรรศการศิลปะสกุลช่างเมืองเพ็ชร์ บริเวณลานอุทยานเฉลิมพระเกียรติ รัชกาลที่ 4
เมื่อถึงยามเย็น มุ่งสู่พระนครคีรีอีกครั้ง เพื่อสัมผัสบรรยากาศแห่งชาติ เชื่อมโยงประวัติศาสตร์ กับกิจกรรมพิเศษ “กาล่า ดินเนอร์ เชฟส์เทเบิ้ล” ที่จะได้ลิ้มรสอาหารที่ทรงคุณค่าและมีที่มาทางประวัติศาตร์ แรงบันดาลใจจากการรับรองแขกบ้านแขกเมืองยุค ร.4 พร้อมรับฟังเสวนาวาไรตี้ เกร็ดประวัติศาสตร์พระนครคีรี – การรับรองพระราชอาคันตุกะสมัยรัชกาลที่ 4 ณ บริเวณสนามหญ้าโรงโขน อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี
แรงบันดาลใจในการรับแขกบ้านแขกเมืองสมัย ร.4
มาถึงพริบฟรีต้องต้อนรับ: น้ำลอยดอกไม้อบควันเทียนอ่อนๆ
เพชรบุรีแดนใจ: ม็อคเทลกล้วยหอมทอง
เริ่มต้นที่ล้นเกล้าฯ: ชมพู่เพชรสายรุ้งท๊อปด้วยยำส้มโอ
เทียบอ่าวบางตะบูน: ล่าเตียงไส้กุ้ง
เพลินเมืองพริบพรี: ข้าวตังปลาหวาน
ทุ่งนา-ป่าตาล: สลัดหัวตาลอ่อน ปูก้อน
สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง: ซุปสามกษัตริย์
เสด็จแปรพระราชฐาน: ข้าวแช่เมืองเพ็ชร์
พระราชอาคันตุกะมาเยือน: รูลาจสเต็กปลา ซอสพริกพราน โพเตโต้ฟองดอง
สุริยุปราคาที่หว้ากอ: ไอศกรีมข้าวแช่
ชื่นจิตรสทิพย์: ชาเปลือกกล้วยหอม-มะตูม-เอิร์ลเกรย์
- รูลาจสเต็กปลา ซอสพริกพราน โพเตโต้ฟองดอง
- สลัดหัวตาลอ่อน ปูก้อน
อ.ณปภา หอมหวน อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีและศิลปะการประกอบอาหาร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี เล่าว่า เมนูเหล่านี้มาจากการรังสรรค์จาการผสมผสานวัตถุดิบท้องถิ่นกับประวัติศาสตร์สมัย ร.4 ซึ่งมีอาคันตุกะมาเยี่ยมเยือน
เริ่มต้นด้วยความหอมสดชื่น กับน้ำลอยดอกมะลิอบควันเทียนที่ใช้เวลาถึง 15 ชั่วโมง เมนูเรียกน้ำย่อย 3 รายการ สื่อถึง 3 รสชาติแห่งเมืองเพชร ทั้งชมพู่เพชรสายรุ้งท๊อปด้วยยำส้มโอ , ล่าเตียงกุ้ง ซึ่งปรุงรสเค็มด้วยดอกเกลือบ้านแหลม และข้าวตังปลาหวาน ที่ใช้น้ำตาลโตนดเมืองเพชร กินคู่ปลาหวานจากบ้านแหลม ฯลฯ
- ซุปสามกษัตริย์
- ม็อคเทลกล้วยหอมทอง
ส่วนเครื่องดื่มระหว่างจานก็มี “น้ำผึ้งมะนาว” ซึ่งใช้น้ำผึ้งจากแก่งกระจาน และมะนาวจากบ้านลาดและท่ายาง รวมทั้ง “ม็อคเทลกล้วยหอมทอง” ที่หอมหวนชนหลงใหลสุด ๆ
เนื่องจากการรับรองอาคันตุกะซึ่งเป็นชาวยุโรป จึงมีการประยุกต์เมนูไทยกับฝรั่ง เป็นจานหลักอย่าง รูลาจสเต็กปลา ซอสพริกพราน โพเตโต้ฟองดอง แม้จะใช้เทคนิคแบบอาหารตะวันตก แต่ยังคงรสชาติไทย ๆ
น้ำผึ้งมะนาว มีการเรียงรสชาติ เบรกด้วยน้ำผึ้งมะนาว ที่ได้จากแก่งกระจาน มะนาวจากบ้านลาดและท่ายาง ทุกวัตถุดิบในวันนื้คัดเลือกโดดเด่นในจังหวัดมาเล่าเรื่องราวจากอาหารให้กับแขกผู้มี ได้สัมผัสประสบการณ์แห่งรสชาติ รูปสัม รสสัม เนื้อสัมผัส จะสร้างความประทับใจ

ข้าวแช่เมืองเพ็ชร
ส่วนจานหลักอีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือ “ข้าวแช่เมืองเพ็ชร” ซึ่งเป็นเมนูชาววังที่ “เจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่น” ในรัชกาลที่ 4 ได้นำมาเผยแพร่ จนทำให้ชาวเมืองเพชรได้รู้จักกับข้าวแช่และสืบทอดเป็นอาชีพเรื่อยมา จนปัจจุบันข้าวแช่เมืองเพชรมีอยู่มากกว่า 10 เจ้า นอกจากนั้นยังถอดสูตรจากข้าวแช่มาเป็นของหวานที่มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์อย่าง “ไอศกรีมข้าวแช่”
เป็นมื้อพิเศษท่ามกลางความรื่นรมย์ ขณะที่บนลานการแสดงมีทั้งการเสวนาเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ การแสดงสื่อผสมมินิไลท์แอนด์ซาวด์ ปิดท้ายค่ำคืนด้วยความประทับใจกับการแสดงศิลปะพลุดอกไม้เพลิง 450 นัด
เชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวเมืองเพชร
ค่ำคืนแห่งความประทับใจผ่านไปแล้ว แต่สิ่งที่อยู่ในความทรงจำยังตราตรึง เช้าวันใหม่ที่ PBRU HERITAGE ต้อนรับเราด้วยอาหารเช้าอันเป็นเอกลักษณ์
จากนั้นอธิการบดีและทีมผู้บริหารโรงแรม PBRU HERITAGE ได้นำชมสถานที่ ซึ่งนอกจากห้องพักแล้ว ยังมีห้องประชุมสัมมนาและการจัดเลี้ยง รวมทั้งร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกจากการสร้างสรรค์ของมหาวิทยาลัย อาทิ ลายผ้าที่สะท้อนเอกลักษณ์เมืองเพชร พร้อมสินค้าต่าง ๆ และหนังสือที่รวบรวมศิลปวัฒนธรรมของเมืองเพชรอันทรงคุณค่า
จากนั้นแวะไปที่ “สวนตาลลุงถนอม” อ.บ้านลาด ชมนวัตกรรมการจัดการเพื่อการท่องเที่ยวและศึกษาเรียนรู้ ก่อนจะไปซื้อของฝากกันที่ “โรงงานลุงอเนก ขนมหวานเมืองเพ็ชร์” รับประทานอาหารเที่ยงที่ “ครัวลูกหว้า” แล้วแวะไป “สปาเกลือกังหันทอง” อ.บ้านแหลม ผ่อนคลายกับการแช่เท้าในน้ำเกลือ และนวดเท้าเพื่อสุขภาพ
จบทริปแบบครบรส เป็นอีกเส้นทางที่สวยสดงดงาม เปี่ยมไปด้วยคุณค่า ไม่ว่าจะเนิ่นนานผ่านไปก็ยังประทับใจที่ทุกครั้งที่ได้มาเที่ยวเพชรบุรี “เมือง 3 รส” เมืองไมซ์ที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ

ประติมากรรมเกลือชิ้นล่าสุด ในงาน “ฮักเกลือหวาน” Art of Salt จุดชมวิวบางแก้ว อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี 14 – 16 มีนาคม 2568 (ภาพโครงสร้างของผลงาน “โอบกอดทะเล” เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2568 ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการจัดสร้าง)