Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam erat volutpat. Ut wisi enim

Subscribe to our newsletter

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam
[contact-form-7 id="9582" html_class="default"]

เฟซและพี กับบุญรอดของเขา

ไปเที่ยวเขาค้อรอบนี้ ได้อะไรมากกว่าที่คิด

แม้ที่คิดไว้อาจจะไม่ได้ก็ตาม

หมอกเอย ยามเช้าเอย พระอาทิตย์ตกดินเอย…

เพราะตั้งใจว่าจะพักผ่อน นอนเล่นอยู่ในรีสอร์ตให้มากที่สุด ด้วยบรรยากาศของ “กระท่อมน้อยของลุงทอม” ที่เขาค้อ มันลงตัวมาก สำหรับการนั่ง ๆ นอน ๆ ปล่อยตัวนิ่ง ๆ ให้รอบกายเคลื่อนไหว

ฟังเสียงสายลมที่พัดพริ้วตลอดทั้งวัน ท่ามกลางใบไม้ที่เริงระบำโอนเอนไปมา ได้นั่งมองฟ้าที่เป็นสีฟ้ากว่าทุกวัน…

ระเบียงหน้าบ้านดินห้อง 6

ก็เพราะอยู่ติดที่บ้าง ไม่เหมือนทริปทำงานที่ต้องตื่นตั้งแต่ไก่โห่ ออกรถกันไปตุเลง ๆ ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งวัน เหมือนทัวร์ราคาคุ้มที่มาแล้วต้องเก็บกวาดให้ราบคาบ น่าเสียดายว่าบางทีก็ไม่มีเวลาซึมซาบกับอะไรเลย

ช่วงสายที่หน้าบ้านดินห้อง 2 เรามองเห็นทุ่งนาอยู่ไกล ๆ หากได้พักห้อง 6 ก็จะใกล้ทุ่งนาเข้าไปอีกหน่อย แต่ห้อง 2 ก็อยู่ในระดับที่สูงกว่า แต่ละห้องจึงมีมุมมองแตกต่างกันไป ระหว่างที่นั่งเล่นบนแคร่หน้าบ้านพัก เราได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วแค่แว่ว ๆ

คราวก่อนสักสามปีที่แล้ว ด้านหน้าห้องพักที่กระท่อมน้อยของลุงทอมยังเป็นวิวแบบ 180 องศา มองเห็นท้องทุ่ง และเนินเขาได้เต็มตา สามารถมองเห็นกังหันลมอยู่ไกล ๆ แต่ปัจจุบัน ในบริเวณใกล้เคียงมีแนวต้นสนเติบใหญ่ แม้จะบดบังทัศนียภาพเดิม ๆ ไปบ้างแต่ก็ก็สดชื่นดี

ตอนแรกเราจึงมองไม่เห็นว่า มีใคร ทำอะไร อยู่ตรงชายทุ่ง จนเพื่อนร่วมทริปที่ออกไปเดินเล่นกลับมาบอกว่า “เจอเด็กเลี้ยงควายด้วย น่ารักมากเลย” และนั่นก็เป็นนาทีแรกที่ทำให้เราอยากเจอพวกเขา

เราเดินลงจากเนินเขาเตี้ย ๆ ไปหยุดที่บ้านหลังที่ 6 สังเกตว่ามีแขกยังพักผ่อนอยู่ จึงไม่ผลีผลามเดินเข้าไปใกล้หรือส่งเสียงดังมาก แค่ได้เห็นเด็ก ๆ กำลังเล่นอยู่กับกลุ่มควายสี่ห้าตัว เมื่อเราส่องเลนส์เข้าไป พวกเขาก็โบกมือทักทายกลับมา

หลังจากนั้นก็ได้แค่เพียงสนทนากันเบา ๆ เพียงชั่วครู่ ได้รู้ว่า “เฟซ” และ “พี” เด็กชายวัย ป.4 และ ป.5 เป็นเพื่อนกัน พวกเขามักจะมาเล่นกับควาย เนื่องจากมีหน้าที่พาควายออกมาหาหญ้ากินตั้งแต่ตีห้า แล้วอยู่ด้วยกันทั้งวัน เที่ยงก็มีกลับไปพักกินข้าวที่บ้านแล้วออกมาใหม่ บ่ายก็ออกมาอีก

เด็ก ๆ บอกว่าบ้านอยู่ใน ต.ทุ่งสมอ นี่แหละ เขาบอกไม่ไกลมาก แต่ที่ชี้ไป เราคาดคะเนไม่ได้เลยว่าไกลขนาดไหน เพราะแถวนั้น มีแต่เนินเขาและทุ่งนา มีต้นไม้ขึ้นครึ้มพอสมควร แต่คาดว่าคงจะมีทางเดินของชาวบ้าน ที่ผ่านไปมาทางนี้ได้

ตอนแรกก็ยังไม่เข้าใจระบบการเลี้ยงควายของพวกเขา ก็เลยได้แค่บอกว่า เดี๋ยวบ่าย ๆ จะกลับมาใหม่

หลังจากที่พวกเราออกไปตระเวนชมวิว หาอะไรกินแล้วกลับเข้ามาในตอนบ่าย เราซื้อขนมและเครื่องดื่มเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝาก แต่เมื่อมาถึงรีสอร์ต ลงไปที่ชายทุ่ง ก็ไม่เจอพวกเขาเสียแล้ว

ผ่านไปช่วงใหญ่ที่เราโอ้เอ้กันอยู่ริมระเบียง ชมนกชมไม้กันเพลิน ก็เห็นเงาแวบ ๆ ในป่าสนด้านหน้าที่พัก

ใช้แล้ว เป็นพวกเขานั่นเอง เพราะช่วงบ่ายบริเวณทุ่งนาเริ่มมีแดดจัด พวกเขาก็เลยพากันไปหลบใต้ร่มไม้ ถึงจะอยู่ไกลและไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แต่ก็ยังพอมองเห็นพวกเขากำลังหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน โดยมีเจ้าควายเพียงตัวเดียวอยู่กับพวกเขา

เราจึงคว้ากล้อง เดินไปใกล้สวนป่าให้มากที่สุด แล้วตะโกน

“เฟซ …พี …” พร้อมกับโบกไม้โบกมือ ไม่นานพวกเขาก็โบกไม้โบกมือกลับมา เราจึงทำท่ากวักมือให้พวกเขาเข้ามา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เหมาะ จึงชี้ไปทางทุ่งนาที่เดิมที่เจอกันเมื่อเช้า

แล้วก็รอให้พวกเขาเดินมาอีกครั้ง คราวนี้ เพิ่มสมาชิกอีก 1 คน เป็นหนุ่มน้อยผิวเข้มที่ดูเคร่งขรึมกว่าอีกสองคน

เราส่งขนมและน้ำให้เด็ก ๆ พวกเขาไหว้รับอย่างสุภาพ ตั้งแต่เจอกันรอบเช้ามาจนถึงตอนนี้ สัมผัสได้ว่าเด็ก ๆ มีความสุภาพเรียบร้อยมาก ๆ พูดจาเพราะ ครับ ๆ ๆ ทุกคำ โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กกว่าเพื่อนที่เป็นเจ้าของ “บุญรอด” ควายที่ได้การไถ่มา ดูจะร่าเริงและฉะฉานที่สุด แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความอ่อนน้อม

เรานั่งหน้าระเบียงบ้านดินห้อง 6 ซึ่งตอนนั้นแขกผู้เข้าพักได้เช็คเอ้าท์ไปแล้ว นั่งห้อยขาตรงระเบียง คุยกับเด็ก ๆ ที่คลุกอยู่ในป่าหญ้าด้านล่าง เจ้าพีบอกว่า มีหน้าที่พาควายไปเดินเล่นกินหญ้า ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า แล้วก็อยู่เล่นกับมันทั้งวัน โดยไม่รู้สึกเบื่อ เพราะเจ้าบุญรอดนั้นแสนรู้ ใจดี และเป็นมิตร

แต่ก็มีหงุดหงิดบ้าง หากกำลังกินหญ้าก็ห้ามยุ่ง อาจจะโดนขวิดเป็นได้

เมื่อถามถึงควายตัวอื่น ๆ เด็ก ๆ  บอกว่า ตัวอื่นมันมีคู่ มีลูก จึงไม่ค่อยเข้าใกล้คนนัก แต่ถึงเวลาก็ต้อนกลับบ้านได้ตามปกติ พอเด็ก ๆ บอกเช่นนั้น เราถึงได้สังเกตเห็นว่า ตรงเนินเขาที่อยู่ไม่ไกล เพียงข้ามทุ่งนาไป มีฝูงควายกำลังและเล็มหญ้าอยู่หลายตัว

และที่เข้าใจไปว่า พวกเขาจะพาควายมากินหญ้าตรงนี้ทุกวันก็ไม่ใช่ เพราะจะเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อย ๆ จึงเป็นโชคดีของเราที่ได้เจอกับพวกเขาในวันนี้

เด็ก ๆ ยังเล่าเรื่องของบุญรอดและควายตัวอื่น ๆ ให้ฟัง ดูเหมือนว่าพวกเขาใกล้ชิดกันจนเหมือนเพื่อนสนิท จนมีเรื่องเล่าได้อย่างเพลิดเพลิน เพราะวันหนึ่ง ๆ ต้องอยู่กับควายทั้งวัน ถึงตอนเย็นราวห้าโมงกว่า ๆ ก็พากันแยกย้ายกลับบ้าน

เราสังเกตว่าพวกเขามาตัวเปล่า จึงถามว่า แล้วจะรู้ได้ไงว่าห้าโมงแล้ว ถ้าไม่ใส่นาฬิกา เราได้รับแต่รอยยิ้ม และเสียงเบา ๆ ที่ตอบว่า ก็รู้ว่าเย็นแล้ว แต่ยังไม่มืดครับ อะไรทำนองนั้น

เด็ก ๆ ยังสอนให้รู้จักการเลี้ยงควายฉบับเร่งด่วน

ถ้าควายเชื่องแล้วก็ปีนขึ้นขี่จากบนคอได้ (อธิบายพร้อมท่าประกอบ ขึ้น-ลง อย่างทะมัดทะแมง)หรือ ปีนขึ้นทางเอวก็ได้

“แต่ถ้าควายยังไม่เชื่อง อย่าไปเดินใกล้ตูดมัน มันจะขวิดเอาครับ” เป็นคำอธิบายจากเด็กน้อยที่ฟังเพลินมาก

อย่าจับเชือกให้ห่างนัก มันจะตำเราล้มได้ ให้จับใกล้ ๆ นะครับ (ใกล้กับตรงจมูก) อันนี้ก็มีท่าทางประกอบการจับเชือก แต่ยังไม่เข้าใจมากนัก

อย่าเล่นกับควายตอนกินหญ้า ถ้าขี่อยู่มันก็จะพาตก

อย่าไปเปิดหางมันเล่น มันจะหงุดหงิด

ถึงตอนนี้ก็คิดตามไปว่า จะมีใครอยากไปเปิดหางควายเล่นด้วยหรืออย่างไร แต่ก็คงไม่แน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีบทเรียนนี้…

ระหว่างที่เราพูดคุยกันช่วงใหญ่ ก็บอกเด็ก ๆ ให้กินขนมได้เลยนะ แต่พวกเขาก็ยังนิ่งเฉยกับขนมและเครื่องดื่มในถุง ซึ่งเราก็เลือกซื้อที่มีการบรรจุอย่างมิดชิด เป็นของกินที่ไม่ทำให้ผู้รับรู้สึกไม่ไว้วางใจ

แต่พวกเขาอาจจะโดนสอนให้ระวังตัว หรือเป็นเพราะความเกรงใจ จึงไม่มีใครแตะขนมสักคนเดียว

“ต้องเอาถุงคืนใช่ไหมครับ” เจ้าตัวโตลุกขึ้นถามหลังจากที่ควายกำลังเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าพวกเขาต้องแยกจากพวกเราไปแล้ว

ถุงที่เด็ก ๆ ว่านั้น เป็นถุงผ้าธรรมดา ๆ ถุงหนึ่ง แต่เขาคงเห็นว่ามันเป็นผ้า จึงคิดจะคืนให้พวกเรา จึงบอกว่าไม่ต้อง เอาไปทั้งถุงได้เลย แล้วพวกเขาก็ยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง

การได้สัมผัสถึงความใสซื่อในเวลาสั้น ๆ มันเหมือนกับการได้สูดกลิ่นหอมของดอกไม้ ความบริสุทธิ์ของเด็ก ๆ ผู้รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง แม้ว่าอาจจะเป็นแค่ช่วงที่โรงเรียนยังปิดหรืออะไรก็ตาม แต่ที่เห็นแล้วอุ่นใจคือ พวกเขามีความสุขกับสิ่งที่ทำ เท่าที่สังเกตได้ไม่มีใครพกโทรศัพท์มือถือเลยสักคน

ถ้าจะตีราคาของควาย ตัวก็หลายหมื่นหลายแสน ในฝูงที่กินหญ้าอยู่ไกล ๆ เด็ก ๆ บอกว่ามีควายเผือกอยู่ด้วย แอบคิดไปว่า พ่อแม่ของเด็ก ๆ อาจจะเป็นคนรุ่นใหม่ ที่เลี้ยงลูกให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากนักก็เป็นได้ แต่ก็ไม่ได้ฟันธงอะไรทั้งนั้น แต่มั่นใจว่า การเป็นเด็กดี สุภาพ อ่อนน้อม ครอบครัวคือส่วนสำคัญมาก

เราไม่อาจตัดสินใจจากการพบเจอเพียงชั่วครู่ แต่สิ่งที่รับรู้ไปแล้วคือความสุข ความประทับใจ จากมิตรภาพที่พวกเขามอบให้ด้วยความอ่อนน้อม ชอบใจจริง ๆ ที่ยังเห็นความอ่อนโยนไร้เดียงสา

ระหว่างที่พวกเขายกมือไหว้ลา แล้วเดินห่างออกไป เรายังได้ยินใครสักคนในบรรดาสามคนนั้นพูดขึ้นว่า “เอาขนมไปเก็บที่บ้านก่อนมั๊ย” ถือเป็นเด็กที่ใจแข็งกับขนมได้ถึงเพียงนี้

ตั้งแต่บ่ายวันนั้นเราจึงยิ้มในใจกันมาตลอด เมื่อนึกถึงหน้าเจ้าตัวเล็ก รอยยิ้มอันเบิกบาน วิธีการที่เขาสื่อสารกับเจ้าบุญรอดอย่างใจเย็น นึกถึงแล้วอิ่มเอมใจ ไปเขาค้อเมื่อไหร่ ก็อยากกลับไปหา

ใครที่ไปเขาค้อ แล้วอยากพบเจอพวกเขา เราคงไม่อาจระบุแน่ชัดได้ รู้แต่ว่า เช้ายันเย็น พวกเขาและฝูงควาย จะตระเวนไปตามทุ่งหญ้าธรรมชาติในย่าน ต.ทุ่งสมอ อ.เขาค้อ ซึ่งเป็นบ้านของพวกเขา

บางวันพวกเขาอาจจะอยู่บนเนินเขา บางวันพวกเขาอาจจะหลบอยู่ตามใต้ต้นไม้

พวกเขาคงไม่รู้หรอกว่า วันธรรมดา ๆ ของพวกเธอ คือ วันที่แสนพิเศษของเรา

ขอขอบคุณน้องพี น้องเฟซ เพื่อนของเขา และ “บุญรอด” ของเขา

#ฮักนะเขาค้อ

Post a comment

10 − six =