Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam erat volutpat. Ut wisi enim

Subscribe to our newsletter

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam
[contact-form-7 id="9582" html_class="default"]

92 ยังแจ๋ว Willie Nelson ออกอัลบั้มใหม่ถูกใจวัยเก๋า

คอลัมน์: เซาะร่องเสียง

โดย นกป่า อุษาคเณย์

Maybe I didn’t love you
Quite as often as I could have
Maybe I didn’t treat you
Quite as good as I should have
If I made you feel second best
Girl, I’m sorry I was blind

You were always on my mind
You were always on my mind

And maybe I didn’t hold you
All those lonely, lonely times
And I guess I never told you
I’m so happy that you’re mine
Little things I should have said and done
I just never took the time

You were always on my mind
You were always on my mind

Tell me, tell me that your
Sweet love hasn’t died
And give me
Give me one more chance
To keep you satisfied
I’ll keep you satisfied

Little things I should have said and done
I just never took the time
But you were always on my mind
You were always on my mind

You were always on my mind
You were always on my mind

บทเพลง Always On My Mind โดย Eric Clapton & Bradley Walker บรรจุอยู่ใน Meanwhile อัลบั้มใหม่ของ Eric Clapton ที่เพิ่งวางแผงเมื่อช่วงต้นปี 2025

เป็นบทเพลงที่เขียนขึ้นเพื่ออวยยศให้กับ Willie Nelson ที่เดินทางผ่านกาลเวลามาถึง 92 ปี ในฐานะต้นแบบศิลปินที่ตัวตนและผลงานเป็นที่รักใครชื่นชมในหมู่ศิลปินด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฟนเพลง

ก่อนหน้านี้ เมื่อ 2 ปีก่อน Willie Nelson ได้ขึ้นแสดงในคอนเสิร์ต Long Story Short: Willie 90: Live At The Hollywood Bowl โดยมีศิลปินเพลงชั้นแนวหน้าของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สาย Country ตัวจริงเสียงจริงที่มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง

ไม่ว่าจะเป็น Booker T. Jones, Buddy Cannon, Daniel Lanois, Dave Matthews, Dwight Yoakam, Jamey Johnson, Emmylou Harris, Gary Clark Jr., George Strait, Jack Johnson, Kris Kristofferson, Lily Meola, Rodney Crowell, Shooter Jennings, Stephen Stills and Waylon Payne

Allison Russell, Beck, Billy Strings, Bobby Weir, Charley Crockett, Chris Stapleton, Edie Brickell, Leon Bridges, Lukas Nelson, Lyle Lovett, Margo Price, Miranda Lambert, Nathaniel Rateliff, Neil Young, Norah Jones

Orville Peck, Particle Kid, Rosanne Cash, Sheryl Crow, Snoop Dogg, Sturgill Simpson, The Avett Brothers, The Chicks, The Lumineers, Tom Jones, Tyler Childers, Warren Haynes, Ziggy Marley

Oh What A Beautiful World เป็นผลงานเดี่ยว Studio Album ลำดับที่ 77 และหากนับอัลบั้มทั้งหมด Willie Nelson จะมีผลงานมากถึง 154 ชุดเลยทีเดียว

 Oh What A Beautiful World มีแผนออกวางจำหน่ายในวันที่ 25 เมษายน 2025 ผ่าน Legacy Recordings ผลิตโดย Buddy Cannon

อัลบั้มนี้ประกอบด้วย 12 เพลงโดยนักแต่งเพลง Rodney Crowell ซึ่งจะร่วมร้องประสานเสียงบทเพลงทั้งหมด

การกลับเข้า Studio บันทึกเสียงในวัย 92 ของ Willie Nelson เริ่มต้นเมื่อกลางปี 2024 ที่ผ่านมา ประเดิมเจิมป้ายด้วย ‘Til I Gain Control Again เพลงเก่าจากอัลบั้มคู่ Take It to the Limit ของ Waylon Jennings ในปี 1983

แม้ว่าก่อนหน้านี้ Willie Nelson จะเคยเล่นเพลงนี้ในคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม Willie and Family Live ในปี 1978

โดยในช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมา Willie Nelson ยังคงนำเพลงของ Rodney Crowell มาบันทึกเสียงอย่างต่อเนื่อง ที่โดดเด่นที่สุดคืออัลบั้ม The Borderในปี 2024

และสำหรับ Oh What A Beautiful World อัลบั้มใหม่นี้ Willie Nelson ได้เลือก 12 เพลงของ Rodney Crowell มาใส่ในอัลบั้มนี้ด้วยตัวเอง

ยกเว้น What Kind of Love ที่ร่วมกันแต่ง 3 คนคือ Rodney Crowell Roy Orbison และ Will Jennings

Open Season On My Heart ที่ Rodney Crowell ร่วมแต่งกับ James T. Slater และ Stuff That Works ที่ Rodney Crowell แต่งคู่กับ Guy Clark

โดย 12 เพลงในอัลบั้ม Oh What A Beautiful World ประกอบด้วย

1.What Kind of Love

2.Banks of the Old Bandera

3.The Fly Boy & The Kid

4.Forty Miles From Nowhere

5.I Wouldn’t Be Me Without You

6.Making Memories of Us

7.Oh What a Beautiful World

8.Open Season On My Heart

9.Shame on the Moon

10.She’s Back In Town

11.Still Learning How to Fly

12.Stuff That Works

Willie Nelson เป็นศิลปิน Country ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีความสามารถรอบด้าน การเขียนเพลงอันสร้างสรรค์ของเขาทำให้ศิลปินที่นำเพลงของเขาไปร้องมากกว่า 20 คน ติด Chart อันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง

ผลงานเพลงของ Willie Nelson มี “มากมายมหาศาล” ดังที่เหยี่ยวข่าวสายดนตรีอย่าง Bob Allen ได้เขียนไว้ “ผลงานขนาดนี้ คนทั่วไปคงไม่รู้สึกอะไรไม่ได้ ยกเว้นแต่ผู้สร้างสรรค์ผลงานเพลงเท่านั้นที่เฉยๆ”

Willie Hugh Nelson เกิดที่เท็กซัสตอนกลาง เติบโตมากับการร้องเพลง Gospel ในโบสถ์แบปติสต์กับบ็อบบี้ น้องสาวของเขาซึ่งเล่นเปียโนด้วยกันมาอย่างยาวนาน ทั้งคู่ได้รับการเลี้ยงดูจากปู่ย่าตายายซึ่งสนับสนุนให้พวกเขาเล่นดนตรี

โดยคุณย่าได้สมัครเรียนทางไปรษณีย์ให้กับ Willie น้อยตั้งแต่เขาอายุเพียง 6 ขวบ เขาแต่งเพลงแรกเมื่ออายุได้ 7 ขวบ และเริ่มเล่นในวงดนตรีท้องถิ่นเมื่ออายุได้ 9 ขวบ

Willie ไม่ชอบเก็บฝ้าย ดังนั้น เพื่อหารายได้ เขาจึงเริ่มเล่นดนตรีตามห้องเต้นรำร่วมกับวงดนตรีโพลก้าของเยอรมันและเช็กในท้องถิ่นตั้งแต่อายุ 13 ปี จนถึงมัธยมปลาย

Willie ประสบความสำเร็จพอสมควร ด้วยหน้าตาที่หล่อเหลา สาวๆ ในท้องถิ่นถึงกับตั้งสโมสรแฟนคลับ Willie Nelson เลยทีเดียว

นอกจากดนตรี Willie Nelson ยังเป็นนักกีฬาตัวโรงเรียนของวิทยาลัย โดยเล่นเป็นกองหลังในทีมฟุตบอล การ์ดบาสเก็ตบอล และผู้เล่นตำแหน่งช็อตสต็อปในทีมเบสบอล

Willie Nelson เริ่มต้นเส้นทางนักดนตรีอาชีพด้วยการย้ายไปแนชวิลล์ในปี 1960 หลังจากที่ผลงานเพลง Family Bible ของเขาได้รับความนิยมในหมู่คล็อด เกรย์

ด้วยความช่วยเหลือจากแฮงค์ โคชแรน นักแต่งเพลงเพื่อนร่วมวงการ Willie Nelson ได้ทำงานเป็นนักแต่งเพลงประจำให้กับแพมเปอร์ มิวสิค และในไม่ช้าเขาก็ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นหนึ่งในนักแต่งเพลงที่มีความสามารถมากที่สุดในวงการ

โดยมีผลงานเพลงฮิตอย่าง Crazy (แพตซี่ ไคลน์) Funny How Time Slips Away (บิลลี่ วอล์กเกอร์) และ Hello Walls (ฟารอน ยัง)

อย่างไรก็ตาม สไตล์การร้องที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา คือเสียงร้องที่ไม่ปรุงแต่ง ทำให้ Willie Nelson ไม่ค่อยได้รับคำชื่นชมเท่าไหร่นักในระยะแรก

และในที่สุด Willie Nelson ก็พบว่าตัวเองเบื่อหน่ายกับการถูกปฏิเสธ และโหยหาสถานที่ที่เขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้

เขาจึงกลับเท็กซัสบ้านเกิดในปี ค.ศ. 1972 ไว้ผมยาว และปล่อยหนวดเครายาว เขียนและร้องเพลงตามที่เขาต้องการ หลังจากเซ็นสัญญากับ  Columbia Records ในปี 1975

Willie Nelson เปิดตัวอัลบั้มแรก The Red Headed Stranger ซึ่งเป็นอัลบั้มที่มีแนวคิดเรียบง่าย บันทึกเสียงที่ Autumn Sound Studios ในเขตชานเมืองของดัลลาส โดยมีฟิล ยอร์ก คอยช่วยเหลือ

อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณการคัฟเวอร์เพลง Blue Eyes Crying in the Rain ของเฟรด โรส

 เพลงคันทรีของเขาซึ่งในขณะนั้นรู้จักกันในชื่อ Outlaw กลายเป็นที่ฮือฮา 

Willie Nelson จึงออกอัลบั้มที่เผยให้เห็นความสามารถรอบด้านและความสนใจที่หลากหลายของเขามากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการร่วมงานกับศิลปินอย่าง Merle Haggard และ Waylon Jennings และStardust ในปี 1978 ซึ่งเป็นคอลเลกชันเพลงป๊อปคลาสสิกที่มียอดขาย 4ล้านชุด ทำให้เขาได้รับความสนใจจากผู้ฟังกลุ่มใหม่ และยังคงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดของเขา

 รางวัลที่ Willie Nelson ได้รับมีมากมาย รวมถึงรางวัล CMA 11 รางวัล รางวัล GRAMMY 12 รางวัล และรางวัล ACM 6 รางวัล

เขาได้รับการประกาศเกียรติยกย่องให้เข้าสู่ Country Music Hall of Fame ในปี 1993 ได้รับรางวัล GRAMMY Lifetime Achievement Award ในปี 1999 และได้รับรางวัล Gershwin Prize จาก Library of Congress ในปี 2015

ในปี 2003 CMT ได้จัดให้เขาอยู่ในอันดับที่ 4 ในบรรดา “นักร้อง Country ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” และในปี 2008 สไตล์การร้องอันโดดเด่นของเขา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองข้าม ทำให้เขาอยู่ในอันดับที่ 88 ในรายชื่อ 100 นักร้องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของนิตยสาร Rolling Stone

Post a comment

fourteen − 10 =